เพราะตัวธุรกิจที่ทำอยู่ทุกวันนี้สร้างมาร์จิ้นได้เพียงร้อยละ 5 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนก็อยู่ที่ร้อยละ 7 เท่ากับเป็นการสะท้อนโอกาสในการทำกำไรในอนาคตแทบไม่มีทางเป็นจริงได้เลย เพราะความสามารถในการทำกำไรเท่านี้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
นั่นหมายความว่าบริษัทมีต้นทุนการดำเนินงานหลายอย่างเพิ่มขึ้นมากกว่ารายรับหลายเท่า อาทิ รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์มีเพียง 26.19 ล้านบาท แต่กลับแบกรับต้นทุนการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 52.62 ล้านบาท
รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารงานเพิ่มขึ้นเป็น 723.55 ล้านบาทจากช่วงเดียวของปีก่อนมีแค่ 458.31 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้สงสัยว่า ผู้บริหารกลุ่มนี้บริหารงานกันประสาอะไรถึงทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ยอดขายในปีที่ผ่านมาลดลงเหลือ 4,160.95 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5,249.10 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อค้า 33. 90ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัทร่วม 276.11 ล้านบาท รวมทั้งขาดทุนจากการด้อยค่าเงินมัดจำเพื่อซื้อสิทธิโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 60.50 ล้านบาท
ที่สำคัญ คือ ผลขาดทุนจากส่วนแบ่งเงินลงทุนตามวิธีได้เสียเพิ่มขึ้นเป็น 86.53 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 19.39 ล้านบาท น่าเป็นภาพสะท้อนวิสัยทัศน์อันตื้นเขินได้ดีเลยทีเดียว พร้อมกันนั่นยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารสนใจเล่นเกมการเงิน และเกมราคาหุ้นมากกว่าสนใจทำธุรกิจอีกด้วย
ข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นเรื่องน่าอดสูใจอย่างยิ่ง เพราะผลขาดเป็นจำนวนมหาศาลในครั้งนี้ คือ เงาสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของผู้บริหารระดับสูงทั้งสองฝ่ายเป็นคนเช่นไรได้เป็นอย่างดีนั่นเอง