วิธีคำนวณผลตอบแทนจากกองทุนรวม
ถาม เมื่อปีที่แล้วผมได้ตัดสินใจเลือกซื้อกองทุนรวมไว้หนึ่งกองทุน จากกองทุนรวม 2 กองทุนที่ผมสนใจ คราวนี้ผมอยากจะเปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุนรวมที่ได้ซื้อไว้กับกองทุนรวมที่ไม่ได้ซื้อในแบบง่ายๆ ได้อย่างไร เพื่อดูว่าผมตัดสินใจได้ดีหรือไม่ครับ
ตอบ การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับการลงทุนอื่นๆ โดยทั่วไป กล่าวคือ เราก็จะนำเงินที่ได้รับจากการลงทุนไปเปรียบเทียบกับเงินที่นำมาลงทุนในตอนแรกว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไร แล้วจึงนำไปคิดคำนวณเป็นอัตราร้อยละ
อัตราผลตอบแทน = [ -1] X 100
แต่ก่อนที่จะนำการลงทุนสองอย่างมาเปรียบเทียบกันนั้น เราจะต้องมาดูกันก่อนว่าเราจะเปรียบเทียบอะไร เราก็ต้องให้ปัจจัยนั้นเป็นตัวแปรเพียงอย่างเดียวในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ต้องคงที่หรือมีลักษณะเดียวกัน เช่น หากเราจะเปรียบเทียบความสามารถในการเลี้ยงปลาของผู้เลี้ยงสองคน เราก็ต้องทำให้ปัจจัยในการเลี้ยงอื่นๆ เป็นเช่นเดียวกัน คือ พันธุ์ปลาก็ต้องเหมือนกัน จำนวนและขนาดเริ่มต้นก็ต้องเท่ากัน บ่อน้ำ อาหาร และน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาก็ต้องเป็นแบบเดียวกัน เราจึงจะเปรียบเทียบได้ว่าผู้เลี้ยงคนใดมีฝีมือในการเลี้ยงปลาที่ดีกว่ากันได้
การลงทุนในกองทุนรวมก็เช่นกัน หากเราจะดูว่ากองทุนรวมใดให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน ซึ่งแท้จริงๆ แล้วเป็นการเปรียบเทียบการบริหารจัดการกองทุนรวมของบริษัทจัดการว่าบริษัทใดบริหารเงินลงทุนของกองทุนรวมได้ดีกว่ากัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการเปรียบเทียบเราจึงควรจะต้องเปรียบเทียบผลตอบแทนเฉพาะกองทุนที่มีนโยบายในการลงทุนที่เหมือนๆ กัน ผลตอบแทนที่จะเปรียบเทียบก็ต้องเกิดจากช่วงระยะเวลาเดียวกันและเป็นช่วงระยะเวลาที่เท่ากันด้วย นี่เป็นหลักการในการเปรียบเทียบการลงทุนสองอย่างในแบบง่ายที่สุด
อย่างไรก็ดี ในการนำการลงทุนสองอย่างที่มีปัจจัยความแตกต่างกันมาเปรียบเทียบกันนั้นไม่สามารถทำได้หรืออย่างไร เราก็ยังอาจจะสามารถทำได้ครับแต่ไม่ใช่ในทุกกรณี เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถนำความแตกต่างจากปัจจัยมาปรับเพิ่มหรือลดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมได้ เช่น กรณีการเลี้ยงปลานั้นหากผู้เลี้ยงปลารายหนึ่งใช้ยาเพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้มากขึ้นกว่าปกติอีก 1 เท่าตัว
ดังนั้น หากเราจะเปรียบเทียบการเลี้ยงปลาของผู้เลี้ยงสองรายนี้เราก็ต้องปรับลดผลผลิตของผู้เลี้ยงปลาที่ใช้ยาเร่งการเจริญเติบโตเหลือเพียงครึ่งหนึ่งด้วย
ในการลงทุนในกองทุนรวมก็เช่นกัน หากกองทุนรวมหนึ่งมีการจ่ายเงินปันผลแต่อีกกองทุนไม่มีการจ่ายเงินปันผล เราก็จะต้องเพิ่มเงินปันผลนั้นเข้าไปเป็นผลตอบแทนของกองทุนที่จ่ายปันผลด้วย ก่อนอื่นผมคงต้องขอให้ผู้ลงทุนทำความเข้าใจกับคำว่า “มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย (Net Asset Value per unit หรือที่มักจะเข้าใจและเรียกกันว่า NAV)” ซึ่งหมายถึง มูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวมในราคาตลาดหักด้วยหนี้สินของกองทุนรวมหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุนรวมนั้น โดยจะเป็นข้อมูลตัวแทนที่เราจะสามารถนำไปใช้ในการคำนวณผลตอบแทนได้
การคำนวณผลตอบแทนของกองทุนรวมที่มีการจ่ายเงินปันผลให้เราแยกการคำนวณผลตอบแทนเป็นสองช่วงเวลา คือ มูลค่าเปรียบเทียบก่อนจ่ายเงินปันผลและมูลค่าเปรียบเทียบหลังการจ่ายเงินปันผล แล้วจึงนำมูลค่าเปรียบเทียบทั้งสองช่วงมาเชื่อมต่อกันแล้วคิดคำนวณเป็นอัตราร้อยละจากสูตรการคำนวณดังนี้
อัตราผลตอบแทน = [( มูลค่าเปรียบเทียบก่อนจ่ายเงินปันผล X มูลค่าเปรียบเทียบหลังจ่ายเงินปันผล) -1] X 100
โดย มูลค่าเปรียบเทียบก่อนจ่ายเงินปันผล =
และ มูลค่าเปรียบเทียบหลังจ่ายเงินปันผล =
ซึ่ง NAVb คือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยต้นงวด
NAVd คือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยก่อนจ่ายเงินปันผล
NAVe คือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยปลายงวด
แต่หากจะเปรียบเทียบกองทุนรวมที่มีนโยบายแตกต่างกัน ก็จะเปรียบเสมือนนำการเลี้ยงปลาต่างสายพันธุ์ (ปลาทับทิมกับปลาดุก) มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งก็ต้องนำความแตกต่างจากปัจจัยมาปรับเพิ่มหรือลดด้วยข้อสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ความถูกต้องในการเปรียบเทียบจึงขึ้นอยู่กับสมมติฐานดังกล่าวว่ามีความเป็นธรรมเพียงใด
สำหรับการเปรียบเทียบการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายแตกต่างกัน เราก็จะต้องคำนวณหาค่าความเสี่ยงของการลงทุนแต่ละกองทุนเพื่อนำมาปรับกับค่าอัตราผลตอบแทนที่คำนวณได้จากที่กล่าวข้างต้นเพื่อให้อยู่ในฐานของระดับความเสี่ยงเดียวกันเสียก่อน
แต่ว่าการคำนวณหาค่าความเสี่ยงนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ ดังนั้นผมจึงไม่ขอกล่าวถึงการคำนวณไว้ในที่นี้ครับ
ยิ่งสะดวกยิ่งต้องระวัง
ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ตรุษจีนปีนี้ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกาย สุขภาพใจ และ สุขภาพเงินสมบูรณ์แข็งแรง นึกถึงเทศกาลตรุษจีนนอกจากนึกถึงหมู เห็ด เป็ด ไก่แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้สำคัญมากอั่งเปายังไงล่ะ
สมัยเด็กๆ จะดีใจมากเมื่อเทศกาลตรุษจีนมาถึง วันจ่ายเราไม่เกี่ยว วันไหว้เราขอมีเอี่ยวด้วยอิ่มอร่อย วันเที่ยวชอบมากเพราะเป็นวันที่ได้รับเงิน มาแล้วซองแดงๆ แต่พอเริ่มทำงานไม่สนุกเท่าไรเพราะต้องเปลี่ยนสถานะจากผู้รับมาเป็นผู้ให้ แบบนี้เริ่มไม่สนุก ยิ่งลูกหลานมากยิ่งหนาว ล้อเล่นน่า ยังไงๆ แจกอั่งเปากันแล้วอย่าลืมเตือนเด็กๆ ให้แบ่งเงินเก็บไว้บ้าง จะรูปแบบไหนก็ได้ขอให้รู้จักเก็บออมก่อนเป็นใช้ได้ เมื่อมีวินัยการออมดีแล้วก็ค่อยเริ่มแบ่งเงินบางส่วนไปหาผลประโยชน์เพิ่มขึ้น
จริงๆ แล้ววันนี้ไม่ได้ตั้งใจเขียนเรื่องเทศกาลตรุษจีนแต่บังเอิญตรงช่วงนี้พอดีเลยต้อง "อินเทรนด์" กันหน่อย มาเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนกันดีกว่า คงไม่มีใครที่ไม่เคยถอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม หรือ หากจะมีบ้างก็คงจะน้อยมากๆ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาก้าวไปไกลอย่างไร?
มิจฉาชีพทั้งหลายก็จะพยายามคิดกลวิธีต่างๆ เพื่อหาทางโกงในรูปแบบต่างๆ ทั้งโลว์เทคและไฮเทค เช่น ติดตั้งกล่องเล็กๆ ซ่อนไว้ และสร้างเครื่องอ่านหมายเลขบัตรสวมไว้ที่ช่องเสียบบัตร เมื่อลูกค้ามาใช้บริการเครื่องนี้ก็จะอ่านค่าบัตรทั้งหมด และนำข้อมูลทั้งหมดไปทำบัตรปลอมถอนเงินจากบัญชี หรือบางรายทำทีมาทำรายการผ่านเครื่องเอทีเอ็มแล้วทำทีว่าบัตรมีปัญหาให้ลูกค้ารายอื่นในคิวเข้าไปก่อน และทำทีเป็นขอความช่วยเหลือขอดูบัตรและใช้เครื่องคัดลอกข้อมูลจากบัตรนำไปทำบัตรใหม่และไปถอนเงินจากบัญชี
หรือบางรายก็ฉกเงินเอาดื้อๆ หลังจากลูกค้ากดเงินได้เรียบร้อย หรือแอบดูรหัส ขโมยบัตรไปถอนเงินกรณีลูกค้าเขียนรหัสไว้ให้พร้อม หรือถูกขโมยกระเป๋าสตางค์ซึ่งมีบัตรเอทีเอ็มอยู่ด้วยหลังจากนั้นใช้วิธีเดารหัสโดยดูจากบัตรประชาชนหรือใบขับขี่ หรือแอบอ้างเป็นพนักงานบริษัทโทรหาลูกค้าธนาคารและแจ้งว่าเขาเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัล แต่ขอให้โอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีออมทรัพย์ที่เปิดรอไว้ก่อนเพื่อจัดการเรื่องภาษีและจะส่งของรางวัลให้ต่อไป ฯลฯ
ทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการที่เหล่ามิจฉาชีพทั้งหลายใช้ในการกระทำการมิชอบ ดังนั้น พวกเราพลเมืองดีทั้งหลายก็ต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพพวกนี้
@ เริ่มต้นด้วยรหัสเอทีเอ็มก่อน อย่าเก็บไว้ที่เดียวกับบัตร จริงๆ แล้วไม่ควรเก็บอาจจดไว้ที่ใดที่หนึ่งในรูป ของโค้ดลับต่างๆ ที่เรารู้ของเรา อย่าง่ายเกินไปทำให้เดาได้ เช่น ปีเกิด ฯลฯ เปลี่ยนรหัสเป็นระยะๆ เพราะสามารถทำได้ที่เครื่องเอทีเอ็มของธนาคารที่ท่านใช้บัตรและไม่ควรเปิดเผยรหัสเอทีเอ็มให้คนอื่นทราบแม้กระทั่งคนในครอบครัว "เงินทอง ของบาดใจ" ต้องระวัง
@ บัตรเอทีเอ็ม เก็บไว้กับตัวเองตลอดห้ามคนแปลกหน้าสัมผัสบัตรเอทีเอ็ม เพราะอาจเกิดกรณีอย่างที่กล่าวข้างต้นได้ ให้ระลึกไว้เสมอว่าบัตรเอทีเอ็มเปรียบเสมือนเงินสดของเราต้องระมัดระวัง เมื่อไรบัตรกับรหัสเจอกันเงินไหลแน่นอน ไหลเข้ากระเป๋าเราก้อแล้วไป แต่ถ้าเข้ากระเป๋าคนอื่นก็ชีช้ำไปตามระเบียบ
@ อื่นๆ ที่ควรระวัง
- บัญชีที่มีบัตรเอทีเอ็มไม่ควรเหลือเงินในบัญชีมากเกินไป ควรมีบัญชีอื่นๆ สำหรับเก็บเงินและไม่มีบัตรเอทีเอ็ม
-เลือกใช้เครื่องเอทีเอ็มที่ใช้ประจำ อยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัย มองดูรอบๆ เครื่องก่อนเข้าไปใช้
-เตรียมหยิบบัตรให้พร้อมก่อนเข้าไปใช้เครื่อง สังเกตดูเครื่องมีอะไรผิดปกติหรือถูกดัดแปลงอะไรบ้างหรือไม่ ยื่นให้ชิดเครื่องมากทีสุด อย่าลืมใช้ลำตัวและมือบังขณะกดรหัสด้วย สังเกตคนที่ยืนในคิวด้านหลังอย่าให้ยืนชิดเรา อาจแอบดูรหัส หรือ หยิบเงินไปได้
-ระวังคนแปลกหน้าอาจทำทีเข้ามาช่วยเหลือ หรือขอความช่วยเหลือจากเรา ไม่ว่าไทยหรือต่างชาติ หากกดเงินไปแล้วเกิดขัดข้องเงินไม่ออกมาให้รอดูคนต่อไปทำรายการก่อนเผื่อเงินของเราติดค้างอยู่จะไหลออกมาด้วย หากบัตรติดหรือถูกยึดให้รีบแจ้งธนาคารทันที
อย่างที่บอกแล้วบัตรเอทีเอ็มก็เหมือนเงินสดของเรา ยิ่งถอนได้สะดวกรวดเร็วเท่าไรก็ยิ่งต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เพราะกว่าจะหาเงินมาได้แต่ละบาทเราต้องแลกกับความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ช่วยระมัดระวังเพื่อรักษาเงินของเราไว้ก่อนก็คงไม่น่าจะเป็นเรื่องยากจนทำไม่ได้
Bangkokbiznews
|