May 2, 2024   3:00:12 PM ICT
เก็งกำไร

ที่มา บทความของ  คุณ มนตรี นิพิฐวิทยา จาก www.bangkokbizwek.com
ว่าไปแล้วการเก็งกำไรในบ้านเราไม่ต่างจากการพนันเท่าไรนัก นักลงทุนที่ซื้อขายหุ้น วันต่อวัน ก็ซื้อหุ้นเพื่อขายเอากำไรในวันนั้น หากขาดทุนมากๆ จึงจะยอมเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบจำเป็น

ช่วงอาทิตย์นี้ผมนั่งเฝ้าร้านในอาคารแถบสีลม ซึ่งหนาแน่นด้วยห้องค้า พอเวลาเย็นตลาดหุ้นปิดก็จะเห็นนักลงทุนมีอายุกันซักหน่อยพูดคุยกันถึงการได้เสียในวันนั้นๆ กันมากมาย ผมเองนั้นไม่กล้าเสี่ยงมากขนาดนั้นจริงๆ แม้อายุผมจะยังไม่มาก ที่จริงแล้วความเสี่ยงน่าจะเหมาะกับคนหนุ่มสาวมากกว่า

ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง หรือขึ้นลงผันผวนอย่างนี้ เราจะพบเห็นหุ้นเก็งกำไร ซึ่งล้วนแต่เป็นหุ้นขนาดเล็กขึ้นลงได้เสียกันมาก และดูน่าตื่นเต้นเป็นที่สุด โดยเฉพาะวอร์แรนท์ต่างๆ ขึ้นลงกันแบบต้องลุ้นสุดตัวเลยทีเดียว ซึ่งทำเอาเดือดร้อนถึงทางตลาดหลักทรัพย์

และ BIZ WEEK ฉบับที่แล้วต้องออกมาเตือนนักลงทุนให้รู้ถึงกลวิธีที่รายใหญ่สร้างราคากัน แต่ผมว่าอย่างไรก็ยังคงมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีกเสมอๆ แน่นอน

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความคิดภายในลึกๆ ของมนุษย์ทุกคน ไม่เฉพาะคนไทยหรอกครับเป็นกันทั่วโลกจนมีนักเศรษฐศาสตร์ได้ทำการวิจัยในเรื่องนี้ออกมากันเป็นเรื่องเป็นราวโดยมีการตั้งเป็นทฤษฎีกันเลย คือ Behavioral Finance หรือการเงินเชิงพฤติกรรม และ Mental Accounting หรือ การหักลบตัวเลขในสมองของมนุษย์ ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งในอย่างแรก

ผมอยากจะยกตัวอย่างเรื่อง Mental Accounting ให้ลองพิจารณากันดูครับน่าสนใจทีเดียว แล้วลองเอาไปคิดดูว่า เราก็เป็นอย่างนี้หรือไม่

เรื่องมันมีอยู่ว่า มีสามีภรรยาไปฮันนีมูนกันที่ลาสเวกัส และได้เข้าไปเล่นพนันกันในกาซิโน ทั้งคู่เล่นพนันกันจนเงินหมดจึงกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ขณะที่กำลังจะเข้านอน สามีก็ได้พบเงินที่ลืมค้างในกระเป๋าเสื้อ 10 USD เขาจึงได้แต่งตัวออกไปลองพนันใหม่

ปรากฏว่า เขาเล่นชนะจากเงิน 10 USD เขาได้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทางกาซิโนบอกว่า ไม่สามารถรับการแทงพนันของเขาได้แล้ว เขาจึงแลกชิปทั้งหมดเป็นเงิน 100 ล้าน USD ไปแทงที่กาซิโนอื่น ปรากฏว่า คราวนี้โชคไม่ได้อยู่ข้างเขา เขาเสียเงินทั้งหมดที่ได้จากการพนันให้กาซิโนนั้นไปจนหมด แม้แต่ตัวเขาเองยังต้องเดินกลับโรงแรม

พอถึงห้องพักภรรยาก็ตื่นมาถามว่าเขาหายไปไหน เขาก็ตอบว่าไปกาซิโนมา ภรรยาจึงถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบว่าไม่เลวร้ายจนเกินไป เสียไปแค่ 10 USD เอง!

ความจริงมันก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปครับ แต่หากคิดให้ดีๆ ถ้าเขาเลิกเล่นและกลับห้องพักเขาจะมีเงิน 100 ล้าน USD จริงๆ แล้วเขาเสียเงินไปมากขนาดนั้นจริง แต่ภายในสมองของเขาคิดว่าเงินนั้นได้มาฟรีๆ ถึงจะเสียไปก็เป็นของฟรี แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ของฟรีนะครับ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีแน่นอน

เอาอีกตัวอย่างหนึ่งจะได้เห็นกันชัดๆ มีชายผู้หนึ่งเตรียมเงิน 1,000 บาท เพื่อจะไปจ่ายค่าซักแห้ง พอไปถึงร้านแล้วหาเงินที่เตรียมมาไม่พบ จึงหงุดหงิดที่ต้องเอาเงินใหม่ออกมาจ่าย แต่พอกลับถึงบ้านก็พบว่าเงินที่เตรียมเอาไว้นั้นเขาลืมไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกตัวหนึ่ง เมื่อพบแล้วก็ดีใจว่าได้เงินที่หายไปกลับมาฟรีๆ

หรือหากคุณได้บัตรชมดนตรีของศิลปินที่คุณชื่นชอบมากมาฟรีๆ แล้วคุณทำหาย คุณส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้สึกเสียดายและจะไปซื้อใหม่ แต่หากว่าคุณต้องซื้อมาเองและหายคุณจะเสียดายมากและอาจจะไม่ยอมเสียเงินอีก

นี่แหละครับ...เรื่องของ Behavioral Finance และ Mental Accounting และทฤษฎีนี้ละครับที่ตอบคำถามว่าทำไมเจ้ามือรวยทุกที ก็เพราะว่าเงินที่เจ้ามือเสียไปจะยังไม่หายไปไหนหากผู้เล่นยังไม่เลิก ในท้ายที่สุดผู้เล่นจะต้องเสียกับคืนเจ้ามืออยู่ดี ตราบใดที่ยังมีพฤติกรรมทางการเงินอย่างที่กล่าวมา ได้ก็คิดว่าของฟรี เสียก็ต้องแก้ให้ได้

นักลงทุนรายใหญ่ มักจะลงทุนลากหุ้นสร้างราคาล่อรายย่อยเป็นลำดับแรก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาไม่กลัวเสียเงินเปล่า หรือจากสถิติแล้วเจ้ามือได้เปรียบเสมอ เมื่อรายย่อยเข้ามาผสมโรง รายใหญ่ก็เริ่มปล่อยหุ้นออก แล้วกระตุกใหม่ ที่ต้องปล่อยก่อนก็เพื่อให้รายย่อยขายออก

ไม่เช่นนั้นลากราคาลำบากครับ เพราะรายย่อยคอยซื้อขายทำลายจังหวะอยู่ตลอด พอลากได้ที่รายใหญ่จะทิ้งให้รายย่อยจัดการกันเองอย่างที่เห็นๆ กันอยู่เสมอ รายย่อยที่ได้แล้วเลิกมีน้อยมากครับ เพราะพฤติกรรมของมนุษย์ชอบซื้อหุ้นตอนขึ้นครับ ตอนลงไม่กล้าซื้อหรือไม่เร้าใจ ความเสียหายจึงเกิดกับรายย่อยเสมอมา

พวก Value Investor มักจะไม่สนใจกับการขึ้นลงหวือหวาของหุ้นที่นักลงทุนอื่นกำลังตื่นเต้นกัน หากแต่ว่ามักจะเฝ้ามองเพื่อหาเหตุผลและทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

สังเกตได้จากการสนทนากันผ่าน web board จะเอาเรื่องหุ้นที่หวือหวาเหล่านี้มาสนทนากันมาก จากการหาเหตุและผลนี้ทำให้ Value Investor เห็นว่าเป็นการลงทุนในหุ้นเก็งกำไรเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากและไม่คุ้มกับผลตอบแทนที่จะได้รับ จึงไม่ค่อยพบว่า Value Investor จะร่วมวงกับเขาด้วย

Value Investor มักคิดว่า ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นไม่ได้มาฟรีๆ ครับ มันมาจากการทำงาน การวิเคราะห์หาข้อมูลอย่างหนัก ต้องเสี่ยงกับการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด ผลตอบแทนที่ได้มาไม่ได้มาฟรีๆ แน่ๆ ดังนั้นผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องถูกนำกลับมาหาผลตอบแทนต่อยอด และยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไรนั้น หมายถึงอิสรภาพทางการเงินที่สูงขึ้นเท่านั้น อีกทั้งยังหมายถึงแต้มต่อในการลงทุนอีกด้วย

เมื่อเราทราบถึงพฤติกรรมลึกๆ ที่เกิดกับทุกคนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การควบคุมมันให้ได้ครับ

การลงทุนนั้นสำคัญที่ข้อมูลและการควบคุมจิตใจ ใครศึกษาหาข้อมูลมาดีแล้ว ต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว คุมจิตใจให้ได้ คนนั้นมักจะประสบความสำเร็จเสมอครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการควบคุมจิตใจครับ

เข้าชม: 2,243

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com