May 2, 2024   11:39:58 AM ICT
ปัจจัยต่อการขึ้น-ลงของหุ้น

ไฮไลน์.....นักลงทุนชาวไทยให้น้ำหนักในการตัดสินใจไปที่ปัจจัยภายใน โดยลืม หรือคิดไปว่าปัจจัยในระดับโลก ไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของหุ้นไทยมากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรชนิด 14 วัน ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ได้ตัดสินใจเพิ่มขึ้นมาอีก 0.25% จากเดิม 1.25% มาเป็น 1.50% เมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจในระดับโลก ที่กำลังมีผลต่อปัจจัยภายในประเทศ
      การตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกนง.ในครั้งนี้ ถือเป็นการเป็นการดำเนินนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพราะแม้ว่าสภาพคล่องภายในประเทศ ยังอยู่ในระดับที่เรียกว่า?ล้น?อยู่หลายแสนล้านบาท และคนส่วนหนึ่งยังมีความเชื่อว่าความจำเป็นในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศยัง?มาไม่ถึง?
แต่กนง.ก็จำเป็นต้องประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อป้องกันมิให้มีเงินทุนไหลออกไปกินกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยในต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินทุนจากกองทุนประเภทต่างๆ ที่เข้ามาหมุนเวียนและมีบทบาทอยู่ในตลาดเงิน ตลาดทุนไทย ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
       ซึ่งถือเป็นบทบาทที่สำคัญ เพราะการที่มีเงินทุนเหล่านี้เข้ามาหมุนเวียนอยู่ในตลาดการเงิน ได้ส่งผลให้เกิด?ภาพ?ความคึกคักทางธุรกิจบ้านเราในระยะหลังโดดเด่นชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากที่ต้องซบเซาอย่างหนัก ในช่วง 2-3 ปีแรกภายหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540
        ความจำเป็นที่กนง.จะต้องควบคุมระดับอัตราดอกเบี้ย ให้เกาะติดไปตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยโลก ถือเป็นตัวอย่างการตัดสินใจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในภาวะที่โลกมีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่หนึ่ง ย่อมมีผลต่ออีกที่หนึ่ง แม้ว่าทั้ง 2 ที่นั้น อยู่กันคนละซีกของโลกเลยทีเดียว
        รูปแบบการตัดสินใจเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนในตลาดหุ้นของไทย สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะต้องยอมรับว่าเงินที่ไหลเข้ามาหมุนเวียนสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นอยู่ในทุกวันนี้ เงินก้อนใหญ่เป็นเงินที่ไหลมาจากต่างประเทศ
        ซึ่งการตัดสินใจว่าจะซื้อจะขายหุ้นตัวใดในแต่ละครั้ง ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ ต้องชั่งน้ำหนักว่ามีปัจจัยใดที่จะเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ และในองค์ประกอบดังกล่าว มากกว่าครึ่งเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นในระดับโลก ส่วนปัจจัยภายในเป็นเรื่องรองลงมา
        นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้จัดการกองทุนระดับสากล กับนักลงทุน หรือนักเก็งกำไรชาวไทย ที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด และเป็นสาเหตุหลักที่คนมักจะออกมาตัดพ้อเวลานักลงทุนต่างประเทศซื้อหรือขาย ว่าเรามักตามการตัดสินใจของเขาไม่ค่อยทัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนชาวไทยมักติดหุ้นเวลาฝรั่งเทขายออกมา
        เพราะนักลงทุนชาวไทยให้น้ำหนักในการตัดสินใจไปที่ปัจจัยภายใน โดยลืม หรือคิดไปว่าปัจจัยในระดับโลก ไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของหุ้นไทยมากนักซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
        ความจริงผลสะท้อนของปัจจัยในระดับโลกที่มีต่อตลาดหุ้นไทย เริ่มมองเห็นกันได้ชัดตั้งแต่ปี 2530 หลังเกิดเหตุการณ์?Black Monday? ที่ทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของไทย เริ่มจำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในต่างประเทศ และนักเล่นหุ้นเริ่มรู้จักคำว่าดัชนีดาวโจนส์ กับนิกเกอิ มาตั้งแต่ในช่วงนั้น
        แต่พอปัจจัยต่างประเทศเริ่มลดบทบาทลงไปในบางช่วง นักวิเคราะห์ และนักลงทุนของไทยส่วนใหญ่ ก็เลี่ยงที่จะให้ความสนใจต่อปัจจัยเหล่านั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วยังมีผลต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยอยู่ เพียงแต่ยังไม่สำแดงอิทธิพลออกมาในเวลาดังกล่าว
        นักลงทุนจะเริ่มตระหนักถึงปัจจัยต่างประเทศอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อมันเริ่มมีผลที่เป็นรูปธรรม คือราคาหุ้นตกต่ำอย่างหนัก หรือพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงไปแล้ว และกว่าจะตัดสินใจได้ว่าควรวางกลยุทธการลงทุนอย่างไร ก็เป็นการตัดสินใจที่ช้าไปกว่านักลงทุนต่างประเทศ ที่เขาติดตามทุกปัจจัยอย่างต่อเนื่อง
         ทำให้นักลงทุนไทยมักจะตัดสินใจช้าไปกว่าพวกผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ 1 ก้าวทุกครั้ง
        1 ก้าวที่ตัดสินใจช้าไป ย่อมหมายถึงเม็ดเงินซึ่งเป็นผลประโยชน์ในการลงทุน ระดับหลายแสน หลายล้านบาท ในยามที่นักลงทุนต่างชาติ มีอิทธิพลต่อตลาด เงินลงทุนต่างชาติเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ หากต้องการจะได้กำไรจากความเคลื่อนไหวของเม็ดเงินเหล่านี้ ต้องรู้จักวิเคราะห์การลงทุนของเม็ดเงินลงทุนก้อนนี้ว่าจะกำลังเคลื่อนที่ไปทิศทางใด
         ที่สำคัญ ต้องตีให้แตกว่ามีปัจจัยใดที่ทำให้เม็ดเงินก้อนนี้ เคลื่อนที่เข้า หรือย้ายออกจากตลาดหุ้นไทยเป็นบางครั้งบางคราว ที่มีผลทำให้ราคาหุ้นขึ้น หรือลงเป็นจังหวะ
         หากตีปัจจัยตัวนั้นแตก นักลงทุนชาวไทย ก็สามารถดักความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศได้ทุกก้าว และสามารถทำกำไรจากการดักความเคลื่อนไหวแต่ละครั้งได้ เป็นหลักแสน และหลักล้านบาทเช่นกัน
         ไม่ใช่รอดูแต่ตัวเลขที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศออกมาแต่ละวันว่า วันนั้นๆ นักลงทุนต่างประเทศ เป็น net buy หรือ net sell แล้วค่อยมาตัดสินใจตามภายหลังว่าจะซื้อหรือขายหุ้นที่ตัวเองมีอยู่ออกมา ตามตัวเลขเหล่านั้นดี ซึ่งผลลัพท์ที่ได้ในที่สุด คือเสียงบ่นที่ได้ยินเป็นประจำว่าว่าตามต่างชาติไม่ทันอีกแล้ว
         ปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น มีความสำคัญทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทย หรืออยู่ที่ไหนๆของโลก  

ที่มา www.settrade.com

 

เข้าชม: 2,313

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com