May 2, 2024   5:18:36 PM ICT
ลงทุน อย่าง พอเพียง
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ราวๆ ปี 2536-37 ตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด หุ้นขึ้นทุกวัน ช่วงนั้นไม่มีใครไม่พูดถึงเรื่องหุ้น แม้แต่นักเรียนนักศึกษายังขอเงินพ่อแม่มาซื้อขายหุ้น คนทำงานมีเงินเก็บทุกคนต้องมีหุ้นติดไม้ติดมือกันแทบจะทุกคน ใครไม่ซื้อหุ้นถือว่าล้าหลังไม่ทันสมัย จนคนที่มีความคิดอนุรักษนิยมที่สุดยังหักห้ามใจไม่ไหว ต้องถอนเงินจากแบงก์มาซื้อหุ้นกับชาวบ้านเขาด้วย

ไม่มีใครอยากตกรถไฟเที่ยวนั้น

นอกเหนือจากตลาดหุ้นแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็มีการเก็งกำไรอย่างสุดขั้ว โครงการบ้านใหม่ๆ ทำสถิติยอดขายทะลุเป้าแทบจะทุกวัน เพราะถ้าไม่ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ทุกคนมุ่งไปที่การเก็งกำไรบ้านและที่ดินเปล่า แม้แต่ที่ดินไกลๆ ไม่มีใครรู้จักก็มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ทุกคนคิดอยู่อย่างเดียวว่า ราคาที่ดินมีแต่จะเพิ่มขึ้น ไม่มีวันที่ราคาที่ดินจะลดลงได้อีกแล้ว

บ้านที่สร้างเสร็จส่วนใหญ่จะไม่มีคนอยู่อาศัย เพราะคนที่ซื้อบ้านมาจำนวนมากเพียงแค่ต้องการซื้อมาเพื่อขายต่อเท่านั้นเอง

ช่วงเวลานั้นเงินกลายเป็นของหาง่าย เข้าตลาดหุ้นไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินออกมาเป็นกอบเป็นกำ ไม่มีใครมองโลกในแง่ร้าย เงินที่หามาก็ใช้ไปอย่างง่ายดายราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้ รวมทั้งเศรษฐกิจประเทศไทยกำลังรุ่งโรจน์ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน ทุกคนมองไปข้างหน้าอย่างเต็มไปด้วยความหวัง รวมทั้งคาดว่าประเทศไทยจะกลายเป็น เสือเศรษฐกิจตัวใหม่? ของเอเชีย

แต่แล้วการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 ทำให้เศรษฐกิจไทยเกิดอาการฟองสบู่แตก ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โครงการต่างๆ หยุดชะงัก บ้านและที่ดินราคาเริ่มตกต่ำลง รวมทั้งตลาดหุ้นที่ทำสถิติสูงสุดที่ 1,700 จุดเมื่อปี 2537

ก็ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียง 200 จุดภายในเวลาไม่กี่ปี นักลงทุนที่เข้าตลาดหุ้นจำนวนมากต้อง ขาดทุน? และมองเห็นเงินที่ตนเองอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาสูญสลายไปในพริบตา โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นกิจการไฟแนนซ์ที่ถูกทางการสั่งปิด

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า?คนไทยลืมง่าย? แต่ก็หวังว่าทุกท่านคงยังไม่ลืมในเรื่องที่ได้กล่าวมาข้างต้น การเก็งกำไรและความฟุ้งเฟ้อทำให้เกิดวิกฤติในสังคมไทย การล่มสลายของเศรษฐกิจทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจในแนวทางพระราชดำริในเรื่องของ ?เศรษฐกิจพอเพียง? มากขึ้น

ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมุ่งเน้นไปที่การดำรงชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์พอเพียง ไม่ทำอะไรที่เกินความพอดีหรือเกินความต้องการของตนเอง เน้นไปที่การพึ่งตนเองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างสังคมและชุมชนต่างๆ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะนำทฤษฎีนี้ไปประยุกต์ใช้ในการเกษตรกรรม เพื่อให้เกษตรเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยเงินกู้หรือพึ่งพาเทคโนโลยี่ที่เกินความจำเป็น ช่วยให้เกษตรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและชุมชนกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

จริงๆ แล้ว ?ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง? นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตประจำวัน การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การลงทุนในตลาดหุ้น

เรามาดูกันว่าเราจะสามารถลงทุนอย่าง ?พอเพียง? ได้อย่างไรบ้าง

หนึ่ง อย่าโลภ

ความโลภเป็นศัตรูตัวร้ายของทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไร เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกโลภจะทำให้เราระมัดระวังตัวน้อยลง เมื่อเราลืมนึกถึงเหตุผลในการลงทุน โอกาสผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้นก็สามารถทำให้เรา ?ขาดทุน? จากการลงทุนนั้นได้

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าลงทุนด้วยเงินหนึ่งล้านบาทในการซื้อขายหุ้น ได้กำไรมาหนึ่งแสนบาท คิดเป็น 10% ของเงินลงทุน นักลงทุนที่เริ่มมี ?ความโลภ?จะพูดกับตัวเองว่า ?นี่ ถ้าลงเงินสิบล้านก็ได้หนึ่งล้านบาทไปแล้ว? จากนั้นด้วยความโลภ ในการลงทุนครั้งต่อไป นักลงทุนจึงทุ่มเงินซื้อหุ้นไปสิบล้านบาท

แต่ปรากฏว่า ในการลงทุนครั้งนี้ ราคาหุ้นได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องขายขาดทุนไป 5% หรือคิดเป็นเงินห้าแสนบาท นั่นหมายความว่า กำไรที่ได้มาในครั้งแรกต้องสูญไปทั้งหมด รวมทั้งต้องขาดทุนมากกว่าเดิมอีกด้วย

การลงทุนอย่าง ?พอเพียง? จึงจำเป็นต้องควบคุม ?ความโลภ? ของตนเองไว้ให้ได้ โดยเฉพาะอย่าให้ความโลภครอบงำจิตใจเมื่อต้องตัดสินใจในการลงทุน ถ้าทำได้โอกาสที่จะขาดทุนมากกว่ากำไรที่ได้มาก็จะน้อยลง

สอง ตั้งเป้าหมายในการลงทุนที่สมเหตุสมผล

นักลงทุนจำนวนมากตั้งเป้าหมายในการลงทุนไว้สูงเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ เช่น ตั้งเป้าหมายในการลงทุนว่าจะต้องได้กำไรมากกว่าปีละ 100% ซึ่งถ้าเป็นตลาดปี 46 ที่ตลาดหุ้นขึ้นมามากๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่โอกาสเช่นนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปทำให้นักลงทุนต้องเสี่ยงมากกว่าปกติ รวมทั้งโอกาสที่จะ ?ขาดทุน? ก็จะสูงตามขึ้นไปด้วย ตัวอย่างเช่น แทนที่นักลงทุนจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ก็จะหันไปลงทุนใน ?หุ้นเก็งกำไร? เพื่อที่ต้องการทำผลตอบแทนให้มากขึ้นในระยะเวลาสั้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้าไปเก็งกำไรมักจะ ?บาดเจ็บ? ออกมาซะมากกว่า เป็นเพราะความผันผวนของราคาหุ้นที่สูงมาก ถ้าเข้าออกผิดจังหวะเพียงนิดเดียวก็หมายถึงการขาดทุนทันที

ดังนั้น ถ้าจะลงทุนอย่าง ?พอเพียง? จำเป็นจะต้องตั้งเป้าหมายในการลงทุนให้สมเหตุสมผล ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพราะกฎข้อที่หนึ่งของการลงทุนคือ อย่าขาดทุน ดังนั้นการตั้งเป้าหมายที่ไม่สูงเกินไปจะช่วยให้โอกาสในการขาดทุนจากการลงทุนน้อยลง

สาม ไม่เครียดกับการลงทุน

ถ้าการลงทุนในตลาดหุ้นทำให้ท่านต้องวิตกกังวลหรือนอนไม่หลับ นั่นหมายความว่าท่านเริ่ม ?เครียด? กับการลงทุนมากเกินไปแล้ว บางท่านซื้อหุ้นมาก็กังวลว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแล้วจะขาดทุน เลยจำเป็นต้องเฝ้าดูหน้าจอหรือโทรคุยกับโบรกเกอร์ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะการซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นนั้น ราคาหุ้นมีความเปลี่ยนแปลงสูงมาก ถ้าพลาดแม้เพียงไม่กี่นาที กำไรที่เคยมีอาจจะกลายเป็นขาดทุนได้ในพริบตา ดังนั้นนักเก็งกำไรจึงจำเป็นต้องติดตามราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องถือหุ้นข้ามวันก็เลยทำให้ต้องคิดมาก นอนไม่หลับเพราะกลัวพรุ่งนี้จะมีข่าวร้ายทำให้หุ้นตก

ถ้าท่านรู้สึกวิตกกังวลกับการลงทุน วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือ ลดจำนวนเงินที่ซื้อขายลงจนอยู่ในระดับที่ท่านไม่ต้องกังวล นั่นหมายความว่า กำไรที่ท่านจะได้รับก็จะลดลงตามไปด้วย แต่ก็ช่วยให้ท่านไม่ต้องคิดมากจนนอนไม่หลับ

นอกเหนือจากทั้งสามข้อที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านยังสามารถประยุกต์ใช้ ?ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง? กับการลงทุนของท่านได้ ซึ่งถ้าทำได้จะช่วยให้ท่านรู้สึกเพียงพอและมีความสุขกับการลงทุนมากขึ้น

ที่มา คุณ วิบูลย์ พึงประเสริฐ นสพ.บิสวีค

เข้าชม: 2,133

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com