เลิบมองว่าการลงทุนในหุ้นนั้นคุณต้องทำแบบเก็งกำไรซื้อขายหุ้นเร็ว ดูภาวะตลาดหลักทรัพย์และจับกระแสให้ถูกต้อง เขามองว่าการลงทุนถือหุ้นยาวเพื่อรอกินปันผลนั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเพราะผลตอบแทนที่คาดหวังจะต่ำเพียงไม่กี่เปอร์เซนต์ต่อปี และโอกาสที่จะขาดทุนเพราะเงินต้นหายจะมีมากถ้าคุณคาดการณ์ผิด สำหรับเลิบแล้ว หุ้นราคาถูกสไตล์ Value Investment นั้นไม่มีประโยชน์เพราะมันอาจจะถูกไปนานแสนนาน เขาเห็นว่าควรเข้าซื้อหุ้นที่เริ่มจะแพงและแพงขึ้นเรื่อย ๆ วิธีการลงทุนแบบของเลิบนั้น เขาแนะนำให้ใช้เงินเก็งกำไรเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตเท่านั้น ไม่แนะนำให้ลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้นแบบ Value Investment ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงิน 100 คุณอาจจะใช้เงินเพียง 20 ? 30% เข้าซื้อหุ้นเพียงหนึ่งหรือสองตัว โดยในช่วงแรกซื้อแต่น้อย ถ้าผิดพลาดก็ให้ขายตัดขาดทุนหรือ Cut Loss ทันที แต่ถ้าหุ้นขึ้นไปให้ทะยอยซื้อเพิ่มไปเรื่อย ๆ และปล่อยให้กำไรเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือที่เรียกว่า Let Profit Run เลิบมองว่าวิธีแบบนี้จะทำให้ได้กำไรเป็น 100% ในเงินที่ลงไปภายในเวลาอันสั้นซึ่งดีกว่าการลงทุนด้วยเงินทั้ง 100% และได้ผลตอบแทนเพียง 10% ซึ่งต้องเสี่ยงเงินมากกว่า
เลิบเห็นว่าเราไม่ควรปล่อยให้เงิน ?ทำงาน? ตลอดเวลาโดยการ Fully Invest แบบนักลงทุนระยะยาวทั้งหลาย ถ้าภาวะตลาดไม่ดีให้ถือเป็นเงินสดไว้ไม่ต้องทำอะไร แต่เมื่อภาวะเอื้ออำนวยเขาจะเข้า ?แรงและเร็ว? พูดง่าย ๆ เขาแนะนำให้ ?เล่นรอบ? และเล่นตามภาวะตลาดในขณะที่เขาเห็นว่าการเลือกซื้อหุ้นโดยไม่สนใจภาวะตลาดแบบเบนเกรแฮมนั้นไม่ถูกต้อง เพราะถ้าตลาดไม่ดีต่อเนื่องยาวนานหรือเข้าไปซื้อตอนตลาดอยู่ในช่วงสูงสุดหรือดัชนีอยู่บนดอย หุ้นดีอย่างไรก็ไปไม่รอด
เลิบไม่เน้นให้กระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นหลาย ๆ ตัว เขาคิดว่าควร ?ใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียวและเฝ้าดูให้ดี? แบบเดียวกับวอเร็น บัฟเฟตต์ ซึ่งแตกต่างจากเบน เกรแฮมที่เน้นการกระจายถือหุ้นถูกจำนวนมาก ๆ ไว้ในพอร์ต เลิบเห็นว่าการกระจายความเสี่ยงแบบนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ยังมีฝีมือไม่พอ แต่คนที่คิดจะรวยจากตลาดหุ้นนั้นต้องเล่นแบบเน้นลงทุนในหุ้นน้อยตัวด้วยเงินจำนวนมาก
การเก็งกำไรทุกครั้งสำหรับเลิบแล้วจะต้องมีแผนหรือมีกลยุทธ์ชัดเจน การเข้าหรือออกจากหุ้นแต่ละตัวจะต้องมีเป้าหมายไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ เช่น ถ้าลงทุนโดยเก็งว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็วถ้าเหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นก็ต้องขายหุ้นทิ้งไม่ใช่ปล่อยรอไปเรื่อย ๆ หรือถ้าเก็งว่าจะประกาศปันผลออกมาดีและหุ้นจะขึ้น เมื่อเหตุการณ์เกิดแล้วก็ต้องขายหุ้นทิ้งเป็นต้น
ในความเห็นของเลิบ การลงทุนนั้นเหมือนกับการทำสงครามที่นักลงทุนก็คือ ?นักรบ? ที่ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ ทำกำไรและเอาตัวรอดในยามวิกฤต ความเสี่ยงต่อหายนะนั้นมีอยู่ตลอดเวลา สำหรับเขาแล้ว ตลาดหลักทรัพย์เป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และบ่อยครั้งไร้ซึ่งเหตุผลซึ่งทำให้การวิเคราะห์บริษัทแบบของเบน เกรแฮม นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะมันเหมือนกับการเข้าไปตรวจสุขภาพทหารในสนามเพลาะในขณะที่ทั้งกระสุนและระเบิดกำลังถล่มเข้ามา ชีพจรของทหารไม่ได้บอกว่าโอกาสของการอยู่รอดจะเป็นอย่างไร และนี่คงเป็นที่มาของชื่อหนังสือที่แปลว่า ?การยุทธเพื่อความอยู่รอดของการลงทุน?
ที่มา Thaivalueinvestor.com |