May 2, 2024   6:11:33 AM ICT
เรื่องจริงผ่านจอ
ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง โลกนี้ก็ยังคงหลีกหนีความวุ่นวายไปไม่ได้ ไม่แปลกที่ตลาดหุ้นที่มีการซื้อ-ขาย ในแต่ละวันจะเป็นตัวสะท้อนภาพความโลภความกลัวที่เห็นได้ชัดที่สุด หลายคนที่กำลังศึกษาและคิดที่จะเข้ามาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น คงยังไม่ทราบและเข้าใจในประเด็นนี้นัก

ตลาดหุ้นและอีกหลายๆ ตลาด มีลักษณะเช่นนี้เหมือนๆ กันหมดครับ ผู้เล่นในตลาดมีมากแบบมากความคิด และผสมปนเปกันไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ที่สำคัญในตลาดนั้นประกอบไปด้วยผู้ชักใย ผู้ปล่อยใจให้ถูกชักใย ผู้ที่ไม่สนใจกับการชักใย

เมื่อเร็วๆ นี้ มีหุ้นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเข้าตลาดมาไม่นาน ราคาหุ้น ตกลง จากราคาเสนอขายครั้งแรกหรือ IPO มาก ราคาจมดิ่งลงไปในระดับที่เรียกว่า ไม่น่าฟื้นขึ้นง่ายๆ จากนั้นใช้เวลานานหลายเดือนราคาค่อยๆ ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นที่สังเกตของนักลงทุนหลายราย

ข่าวต่างๆ เริ่มปล่อยเข้าสู่หูของนักลงทุนมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ มีนักลงทุนหลายรายเข้าไปซื้อหุ้นนี้เพราะข่าวลือที่ได้รับ แน่นอนมันต้องเป็นข่าวยอดนิยมของนักเล่นหุ้นแน่นอน

ผมเองก็ได้ข่าวนี้มาเช่นกันครับ เป้าหมายไม่เลวเลยทีเดียว ราคาที่ผมเห็นในจอตอนที่ได้รับข่าวเทียบกับราคาเป้าหมายแล้ว มีส่วนต่างมากเอาการ ผมไม่เคยสนใจบริษัทนี้มาก่อนจึงไม่มีข้อมูลพื้นฐานและไม่ได้เข้าไปซื้อ แม้จะเห็นราคามันวิ่งได้วิ่งดีทุกวัน จนสงสัยว่า พื้นฐานของมันดีขึ้นผิดหูผิดตาหรืออย่างไร แนวโน้มในอนาคตจะสดใสมากหรืออย่างไร ทำไมผู้คนจึงเข้าไปลงทุนกันมากนัก เมื่อความต้องการซื้อหุ้นมากกว่าความต้องการขายหุ้นแน่นอนหุ้นต้องขึ้นแน่นอน

หรือว่า ผมจะตกรถ!

ตามนิสัยของผมแล้ว ผมต้องขอดูข้อมูลก่อนจะตัดสินใจซื้อ ผมเอาข้อมูลต่างๆ มาดูจนละเอียดแล้วปล่อยให้หุ้นมันขึ้นๆ ลงๆ ไปก่อน ไม่แน่ใจยังไม่สนหรอก ผมดูข้อมูลซึ่งมีน้อยมากเพราะบริษัทนี้เพิ่งเข้าตลาด ประกอบกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมนี้ก็ยังไม่เห็นว่า จะดีขึ้นสักเท่าไร ข้อมูลทางการเงินก็ไม่เห็นมีจุดเด่นอะไรแตกต่างมากนัก

เอ๊ะ...หรือว่า ไตรมาสสามนี้จะออกมาดี!

ยอมรับครับว่า อารมณ์โลภก็เกิดขึ้นเหมือนกัน โชคดีหน่อยที่พอจะสะกดจิตสะกิดใจตัวเองได้บ้างว่า บริษัทนี้มีอะไรที่เข้ากับกฎเกณฑ์ในการลงทุนของเราบ้าง ผมพบว่า ไม่มีสักข้อหนึ่งเลย ต่อให้ราคาต่ำขนาดที่มันเคยล่วงลงไปกองกับพื้นตั้งนานยังไม่กล้าซื้อเลย และราคาวิ่งมาขนาดนี้แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไปเข้าซื้อ ...ไม่มีจริงๆ แฮะ

แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่า แล้วถ้าราคามันวิ่งไปที่ราคาเป้าหมายที่ได้ข่าวมาล่ะ!

ผมก็มนุษย์ปุถุชนธรรมดาเหมือนกันครับ ย่อมมีความโลภได้เช่นกัน จะทนเห็นราคามันวิ่งขึ้นไปโดยไม่มีส่วนร่วมเลยได้อย่างไร

เสียโอกาสหมด!

คนเรานี่ก็แปลก มีสองจิตสองใจได้เหมือนกันนะ และเพื่อจะประเมินโอกาสต่างๆ ของผม ผมก็คิดว่าโอกาสที่จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาขณะนั้นกับราคาเป้าหมาย และโอกาสเจ็บตัว เมื่อคิดได้ก็เลยลองคิดดู ปรากฏว่า ผลตอบแทนที่ได้รับกับโอกาสเจ็บตัวนั้น โอกาสเจ็บตัวสูงกว่ามากและมากอย่างมหาศาลด้วย สุดท้ายก็ตัดใจได้อย่างจริงจังว่า...ไม่ควรไปยุ่ง

คงเป็นเพราะโชคดีของผมด้วยกระมัง วันนั้นผมเห็นราคาหุ้นทำจุดสูงสุดตอนเช้า แต่ไม่ใช่ราคาเป้าหมายที่ได้ข่าวมา และจากนั้นในช่วงบ่ายราคาหุ้นนั้นก็ล่วงลงพื้น ลงพื้นจริงๆ ครับ ลบไป 30% แบบไม่มีการซื้อกลับแม้แต่น้อย ในวันต่อมาหุ้นก็ร่วงลงพื้นอีกครั้ง ลงแบบน่ากลัวมาก นึกว่าถ้าผมเข้าไปร่วมวงกับเขาด้วยคงซวยแน่ๆ

และนี่คือบทเรียนที่สำคัญของผม ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปร่วมวงกับเขาด้วยก็ตามที การข่มอารมณ์ความรู้สึกนั้นสำคัญมากกับการลงทุนมาก โดยเฉพาะกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนในหุ้นที่ไม่มีพื้นฐานรองรับ การลงทุนที่มองโอกาสได้โดยไม่ได้ประเมินโอกาสพลาดเอาไว้

เท่าที่ทราบมามีนักลงทุนบางคนเข้าไปตั้งรับซื้อหุ้นตามแนวรับต่างๆ เอาไว้ โดยคิดว่าเมื่อถึงแนวรับนั้นๆ ราคาจะดีดกลับ แต่ไม่คิดว่าราคามันจะดิ่งลงพื้นได้ติดกันถึงสองวันติดกัน เท่าที่ทราบนักลงทุนท่านนั้นละเมิดกฎเกณฑ์การลงทุนของตัวเอง

ส่วนประกอบของการพลาดครั้งนี้ที่สำคัญก็คือ เขาใช้เวลาในการพิจารณาน้อยมาก เรื่องนี้ชี้ให้เห็นความผิดพลาด 3 ประการใหญ่ๆ คือ

หนึ่ง การไม่ปฏิบัติตามกฎที่เราสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ในการลงทุนที่ยาวนาน

สอง ไม่รอบคอบในการตัดสินใจลงทุน

สาม ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจิตใจแทนการใช้หลักการและเหตุผล

จะเห็นว่า แม้นักลงทุนที่มีประสบการณ์ยาวนานก็มีโอกาสพลาดได้ และมักจะเห็นความผิดพลาดที่รุนแรงเนื่องจากความมั่นใจที่สูงผิดปกติ แต่สิ่งที่นักลงทุนท่านนี้ได้รับก็เป็นสิ่งที่น่าจะเอาเป็นตัวอย่างครับ คือกล้าที่จะยอมรับความผิดพลาด และเก็บเอาไว้เป็นบทเรียนที่ราคาแพงมหาศาล เอาไว้เตือนจิตเตือนใจตัวเองตลอดเวลา ว่าเราจะไม่ยอมพลาดแบบนี้อีกง่ายๆ

สิ่งที่อยากจะเตือนนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากนักว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังเผลอได้ เราเองมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน และหากเคยพลาดแล้วเคยนำความผิดพลาดกลับมาคิดบ้างหรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร เท่าที่ผมเห็นส่วนมากจะโทษดวง โทษโชคชะตา โทษความไม่มีสัจจะของเจ้ามือ โทษแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่การตลาดที่ให้ข้อมูล และไม่เตือน

น้อยคนนักที่เก็บเอาข้อผิดพลาดที่เกิดจากตัวเองกลับมาคิด หลายคนหันหลังให้ตลาดหุ้นไปเลย และบอกต่อว่าไม่เคยเห็นใครรวยจากตลาดหุ้น ที่หนักกว่านั้นบอกว่า ถ้าไม่อยากหมดตัว อย่าเข้ามายุ่งกับตลาดหุ้น

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เคยเกือบจะหมดตัวกับตลาดหุ้นมาแล้วครับ ตอนเจ๊งหุ้นนี่อารมณ์อย่างไรนี่ผมเข้าใจดี อารมณ์แค้นและโกรธไปซะทุกอย่างนี่ก็มีเกิดขึ้นมาแล้ว ตอนเล่นได้มักจะรู้สึกว่าเราเก่ง เราเป็นเซียน โลกหลังสี่โมงครึ่งนี่มันสดใสอย่างไงบอกไม่ถูก เพื่อนผมบอกว่า เจ้านายเล่นหุ้น วันไหนเจ้านายอารมณ์ดีจะสังเกตได้เลยว่าเล่นหุ้นได้ วันไหนอารมณ์เสียให้รู้ไว้เลยว่า เจ๊งหุ้น อย่างนี้การงาน ชีวิตครอบครัวเสียหมด ไม่น่าจะคุ้มใช่ไหมครับ?

ใครที่กำลังสนใจจะเข้ามาลงทุนในหุ้นหรือแม้แต่ผู้ที่ลงทุนอยู่แล้วแต่ยังคงมีปัญหาอยู่ หาทางออกไม่เจอ ผมแนะนำให้หาประสบการณ์จากเพื่อนนักลงทุนด้วยกัน หรือหาหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติการลงทุนของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมาอ่านกันมากๆ เอาเรื่องความผิดพลาดของเขาเหล่านั้น รวมทั้งของตนเองมาพิจารณาให้ดี

ที่สำคัญยอมรับความจริงว่า เรามีนิสัยทางอารมณ์อย่างไร และจะควบคุมมันอย่างไร และเลือกลงทุนแบบที่เราไม่เสี่ยง หาประสบการณ์มากๆ ผมยืนยันได้เลยว่าคนที่ไม่รวยและหมดตัวจากตลาดหุ้น คือคนที่ประมาท และไม่รู้จักตนเองเป็นส่วนใหญ่

คุณล่ะ รู้จักตัวเองดีพอไหม?

ที่มา บมความของคุณ มนตรี นิพิฐวิทยา Bangkokbizweek.com

ไทยหุ้น.คอม ขอขอบคุณครับ

 

เข้าชม: 2,214

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com