April 28, 2024   6:56:57 PM ICT
Dow Theory

Dow Theory เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยแนวโน้มของตลาด โดยทฤษฎีกล่าวไว้ว่า ตลาดหลักทรัพย์กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ถ้าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นอยู่สูงกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ในทางตรงกันข้าม หากจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นอยู่ต่ำกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่อยู่ก่อนหน้า เป็นเครื่องหมายแสดงว่าตลาดหลักทรัพย์กำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง นอกจากนี้แล้ว ยังมีสาระสำคัญที่ปรากฏในทฤษฎีนี้อีกหลายประการ อาทิเช่น

ประการที่หนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์จะดูดซับเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว และสะท้อนออกมาที่ราคาของหลักทรัพย์ในตลาดโดยรวม

ประการที่สอง แนวโน้มของตลาด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ลำดับชั้น แยกตามระยะเวลา คือ Primary trend, Secondary trend และ Minor trend ซึ่งตามปกติแล้ว Primary trend จะกินระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป ในขณะที่ Secondary trend จะกินระยะเวลา 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน โดย Secondary trend นี้ถือได้ว่าเป็นช่วงระยะเวลาในการปรับตัว (corrections) ในช่วงของ Primary trend ส่วน Minor trend นั้น จะกินระยะเวลาน้อยกว่า 3 สัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นเพียงแค่การแกว่งตัวของราคาหลักทรัพย์ในระยะสั้นเท่านั้น

ประการที่สาม แนวโน้มของตลาดยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ แยกตามการซื้อขายหลักทรัพย์ ได้แก่

ช่วงระยะแรก เป็นช่วงที่นักลงทุนที่เล็งเห็นการณ์ไกลเข้ามาช้อนซื้อหุ้น เพราะเห็นว่าข่าวคราวเชิงลบได้ถูกดูดซับไปหมดแล้วในตลาด ซึ่งช่วงระยะนี้เรียกว่า ช่วงเก็บของ (accumulation phase)

ช่วงระยะที่สอง เป็นช่วงที่ผู้ลงทุนที่เน้นการลงทุนตามแนวโน้มตลาดเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดมากขึ้น โดยมีแรงหนุนจากข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจเชิงบวกที่ปรากฏชัดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาโดยรวมมีการปรับตัวสูงขึ้น

ช่วงระยะที่สาม เป็นช่วงที่มีผู้เล่นอยู่ในตลาดมากยิ่งขึ้น ข่าวสารเชิงบวกจะหลั่งไหลกันออกมามากมาย มีการเก็งกำไรมากขึ้น ซึ่งในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายนี้เองที่นักลงทุนที่เข้าเก็บของตั้งแต่ในช่วงระยะแรก จะเริ่มทยอยขายทำกำไรออกไป ซึ่งช่วงระยะนี้เรียกว่า ช่วงระบายของ (distribution phase)

นอกจากนี้ Dow Theory ยังบอกอีกว่า ปริมาณการซื้อขายจะต้องยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากแนวโน้มของราคาเป็นขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายควรจะเพิ่มขึ้นตาม และปริมาณการซื้อขายควรจะน้อยลง หากราคามีการปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากแนวโน้มของราคาเป็นขาลง ปริมาณการซื้อขายควรจะเพิ่มขึ้น และปริมาณการซื้อขายควรจะน้อยลงในขณะที่ราคามีการดีดตัวขึ้น

การลงทุนอย่างมีทฤษฎีมาแบ็คอัพ จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ฟังดูจะไม่ง่าย แต่ก็คงไม่เกินความสามารถของผู้ลงทุน หากตั้งใจที่จะทำความเข้าใจในเรื่องของการลงทุนให้ลึกซึ้งขึ้น

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

เข้าชม: 2,837

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com