Commodity กับตลาดหุ้น



--------------------------------------------------------------------------------

ระยะที่ผ่านมา ราคาสินค้าในตลาดโภคภัณฑ์(commodity market) ทั่วโลก กับตลาดหุ้นไทย เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นเรื่อยๆ แต่นักลงทุนกลับไม่รู้ตัว หรือไม่ให้ความสำคัญเท่าใดนัก
อาจเป็นเพราะว่านักลงทุนของไทย ที่มีพฤติกรรมการลงทุนในลักษณะเก็งกำไรระยะสั้นๆ มองผลที่มาจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในลักษณะปลายน้ำ มากกว่าที่จะไปวิเคราะห์ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ต้นน้ำ ทำให้มีผลปรากฏออกมาอย่างที่เห็น
หรือไม่ก็สนใจเฉพาะข่าวที่ปรากฏออกมาว่าแนวโน้มของสินค้าตัวนั้น ตัวนี้จะเป็นอย่างไร มากกว่าที่จะมองยาวต่อไปอีกว่าเมื่อแนวโน้มของราคาสินค้าตัวนั้น ตัวนี้เป็นเช่นที่ว่าแล้ว ควรมีปัจจัยอะไรที่ต้องวิเคราะห์ต่อไปได้อีกว่าแล้วราคาจะไปถึงไหน เพื่อให้สามารถวางกลยุทธได้ถูกว่าจะถือครองหุ้นที่ได้รับผลจากแนวโน้มของราคาสินค้าดังกล่าวในระยะเวลานานเท่าใด หรือควรจะดูความเคลื่อนไหวอะไรมาประกอบ เพื่อจะได้ตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้นที่เกี่ยวข้องนั้นได้ ในจังหวะและเวลาที่ถูกต้อง
หากจำกันได้ ความใกล้ชิดของราคาสินค้าในตลาดโภคภัณฑ์ต่อราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยที่เป็นรูปธรรม เริ่มต้นมาตั้งแต่แนวโน้มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีเริ่มกลับมาเป็นที่สนใจ และมีการซื้อขายที่คึกคักมากตลอด 1 ปีเศษๆที่ผ่านมา
ต่อด้วยการคาดหมายถึงแนวโน้มราคาทองคำ ที่มีผลให้เกิดการเก็งกำไรในหุ้นบริษัททุ่งคาฮาเบอร์(THL) แต่บังเอิญหุ้นของบริษัทนี้ ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯสั่งขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามการซื้อขายชั่วคราวไปเสียก่อน
มาช่วงหลังที่ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดขึ้น ทำให้การเก็งกำไรราคาหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวขัองกับน้ำมันเกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อยาวนาน จนกลายเป็นภาพซึ่งเป็นรูปธรรม ของผลกระทบจากราคาสินค้าในตลาดโภคภัณฑ์ ที่มีต่อราคาหุ้นในตลาดหุ้น ที่นักลงทุนจับต้องได้ง่ายที่สุด
และตอนนี้สินค้าในตลาดโภคภัณฑ์ที่กำลังเริ่มได้รับการจับตาก็คือราคาเหล็ก
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ทุกสินค้าที่มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของราคา การรับรู้ของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อแนวโน้มของราคาสินค้าดังกล่าว เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนปรากฏออกมาแล้ว
ทั้งๆที่ความเป็นจริง ข้อมูลการซื้อขายของสินค้าในตลาดโภคภัณฑ์ ก็ไม่ใช่ข้อมูลลับ มีปรากฏอยู่ตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่ออิเลคทรอนิคส์
ที่สำคัญ ราคาสินค้าในตลาดโภคภัณฑ์ ก็มีความเคลื่อนไหวไม่แตกต่างจากราคาหุ้น คือมีวงจรการขึ้น และลงที่แน่ชัด ตามอุปสงค์-อุปทานที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วง
หากนักลงทุนรู้จักใช้ข้อมูลดังกล่าว หรือนักวิเคราะห์สามารถหยิบยกข้อมูลดังกล่าว มาวิเคราะห์เพื่อประกอบการให้ให้คำแนะนำแก่นักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถรับรู้แนวโน้มได้ถูกต้องก่อนว่าสินค้าใด กำลังจะมีทิศทางเป็นเช่นไร จะได้ตัดสินใจลงทุนได้ถูกต้อง ก่อนที่ราคาสินค้าตัวนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็น่าจะมีประโยชน์ต่อนักลงทุน มากกว่ารอให้ราคาสินค้าตัวนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ค่อยให้คำแนะนำว่าควรซื้อ หรือขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าดังกล่าวนั้น ที่มีจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทย
หรือทุกวันนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ มีบริการนี้อยู่แล้ว แต่นักลงทุนกลับไม่สนใจ หรือให้ความสำคัญเอง ก็ไม่รู้ได้
แต่ข้อเท็จจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ ราคาสินค้าในตลาดโภคภัณฑ์ทั่วโลก มีความผันแปรโดยตรงต่อราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทย และแนวโน้มเช่นนี้ ก็กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
หากนักลงทุนยังไม่ตระหนักถึงบทบาทความสำคัญของแนวโน้มดังกล่าว เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว ผลที่ได้รับ อย่างเบาๆคือการเสียโอกาสทำกำไรไปโดยไม่รู้ตัว
หรืออย่างหนัก ก็คือขาดทุน เพราะหลงไปซื้อหุ้นที่ปลายยอดของวงจรขาขึ้นของสินค้านั้นๆ และต้องทนถืออยู่ต่อไปเมื่อราคาสินค้านั้นเปลี่ยนเข้าสู่วงจรขาลง

ที่มา / นสพ.ทันหุ้น

ตอบคนที่หนึ่ง..... ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3