November 1, 2024   7:08:20 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 14/05/2007 @ 12:30:33
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2550 ปิดที่ดัชนี 706.90จุด -0.29จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,111 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 490.99 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 229.88 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 261.10 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ระดับ 708.19 จุด +1.00 จุด และ Low ที่ระดับ 703.11 จุด -4.08จุด ตระกูลวอ (วอแรนท์) แผลงฤทธิ์..! ตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีแกว่งตัวทั้งแดนบวกและลบท่ามกลางสภาวะการปรับลงของดัชนีตลาดหุ้นไปทั่วโลก หุ้นกลุ่มอสังหาฯ และธนาคารพยุงดัชนี หุ้นพลังงานมีแรงขายมากถ่วงดัชนีตลอดวัน ดัชนีจึงลุ่ม ๆ ดอน ๆ ขึ้นลงบวกลบสลับกันทั้งวัน หุ้นเล็กเก็งกำไรเป็นประเภท Warrant ที่กลับมาเทรดกันคึกคักอีกรอบประมาณว่าไม่สนใจว่าหุ้นแม่จะขึ้นแรงไม่แรงลูกขอวิ่งแซงไปก่อนละกัน วอแรนท์ที่เทรดกันโดดเด่นนำตลาดนั้นนำทัพโดย NNCL-W1, AMC-W1, NMG-W2, CSP-W1, SVI-W2, PATKL-W1, SPORT-W2, STEC-W2, EMC-W1 ส่วนด้านหุ้นที่พึ่งกลับเข้ามาสร้างชื่อให้นักลงทุนต้องกล่าวถึงกันทุกวันอย่าง

THL
หลังโดนทิ้งหนักเมื่อวันพฤหัสก่อนหน้าก็เริ่มฟื้นตัวได้กลับขึ้นมาเทรดกันแถว ๆ
3 บาทได้อีกครั้ง SAMART ราคาเปิด8.45 บาท ราคาปิด8.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย13.23 ล้านบาท
จากการประกาศลการดำเนินงานรายได้ในไตรมาสที่1/50 ลดลง 3% ซึ่งเป็นผลจากรายได้ของ SIM ที่ถือหุ้น
54%ที่ทรงตัวจากยอดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์ทและรายได้จาก SAMTELที่ถือหุ้นอยู่และที่ผ่านมากำไรปกติในไตรมาสที่1/50 เพิ่มขึ้น 80% QoQ อัตรากำไรขั้นต้นที่ยังทรงตัวในระดับ 12.6% ในไตรมาสที่1/50ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลงตามแนวทางเดียวกับ SIM และSAMTEL ส่งผลให้กำไรปกติเติบโตขึ้น 80%และการคาดการณ์กำไรปกติในปี 50 เติบโต 1.6 เท่า YoY ซึ่งคาดว่าการเติบโตของธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในต่างประเทศของ SIM และการรับรู้รายได้จากงานโครงการใหม่ๆ ในช่วง 2H50 ของ SAMTEL เช่นโครงการอินเตอร์เน็ตตำบล,โครงการติดตั้งเครื่องวัดไฟฟ้า และโครงการวางระบบโครงข่ายโทรคมนาคมแก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์ในประเทศกัมพูชา จะส่งเสริมให้รายได้รวมของ SAMART ปี 50 เติบโต13% เมื่อมองดูจากปัจจัยพื้นฐานและรายได้ต่างๆ ของบริษัทตัวเองและบริษัทที่ถือหุ้นอยู่น่าจะทำกำไรได้มากในปี50นี้ ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อ" โดยมีแนวรับ 8.30 บาท แนวต้าน 8.70บาท

CSL
ราคาเปิด3.60 บาท ราคาปิด 3.70บาท มูลค่าการซื้อขาย2.40 ล้านบาท จากการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสที่1/50 ปรับเพิ่มขึ้น 4.1% YOYโดยเมื่อแยกเป็นรายได้จากอินเตอร์เน็ตพบว่าลดลงเนื่องจากการลดลงของรายได้จากกลุ่ม Dial Up และ Broadband มากกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกลุ่ม Leased Line เมื่อพิจารณาความสามารถในการทำกำไรพบว่าอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 44.2% ลดลงจากเล็กน้อย โดยต้นทุนในส่วนของการให้บริการอินเตอร์เน็ตลดลง 4% YoY เนื่องจากการบริหารด้านโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันต้นทุนในส่วนของ TMC ใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้วทางด้าน G&A/Sales
เพิ่มขึ้น โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากรายจ่ายของ TMCเนื่องจากมีกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ยังประเมินผลประกอบการของCSL ในปีนี้มองว่าอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 45% จากปีที่แล้วมาจากต้นทุนของการให้บริการอินเตอร์เน็ตจะลดลงโดยมองถึงเรื่องของการต้นทุนเกตเวย์ที่คาดว่าจะลดลงจากการที่
กทช. เปิดเสรีและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ทำให้ประเมินว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 13.3% และยังโดดเด่นเรื่องเงินปันผล ดังนั้นK.KRAZIP แนะนำ ?ซื้อ? โดยมีแนวรับที่3.60บาท แนวต้าน 3.47 บาท

PLE
ราคาเปิด 6.50 บาท ราคาปิด 6.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 23.36 ล้านบาท คาดการณ์รายได้ของใน Q1/50 จะอยู่ที่ 1,380 ล้านบาท ลดลง 42.63% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 2.55% YoY สาเหตุที่ลดลงมาจากโครงการก่อสร้างปาล์มลากูน่าที่ดูไบมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากผู้รับเหมาหลักขอเลื่อนระยะเวลาออกไป และคาดว่า PLE จะมีกำไรสุทธิในQ1/50 ที่ 42 ล้านบาท ลดลง 55.43% QoQ
แต่พลิกกลับมามีกำไรหลังจากขาดทุน 13 ล้านบาท ใน Q1/49 จะเห็นรายได้ของ PLE เพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่ Q2/50 เพราะ PLE ได้เซ็นสัญญาโครงการบ้านเอื้ออาทรทั้งสิ้น 40,000 ยูนิต อีกทั้งวางแผนที่จะเข้าประมูลยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการที่งานในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งประเทศเป้าหมายคือสหรัฐอาหรับเอมิเรส ในปัจจุบัน Backlog ของ PLE อยู่ที่ระดับประมาณ 27,500 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 50 จนถึงปัจจุบัน PLE เซ็นสัญญารับงานใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นมูลค่า 2,300 ล้านบาท ในปัจจุบัน PLE ยังมีงานที่คาดว่าจะได้อีกอย่างน้อย 2 โครงการมูลค่ารวม 400 ล้านบาทรอเซ็นสัญญาเพิ่มอีก K.KRAZIP แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีแนวรับที่ 6.45 บาท แนวต้าน7 บาท

STEC
ราคาเปิด 4.80บาท ราคาปิด 5.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 410.15 ล้านบาท คาดการณ์รายได้ปี 2550 จะเพิ่มขึ้น 13.7% อยู่ที่ 16.72 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก backlog ในมือ ประมาณ 47% ยังคงเป็นงาน Airport Rail Link และงานศูนย์ราชการ ซึ่งจะทำให้ STECสามารถพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้ในปีนี้
จะมีกำไรสุทธิที่ 352 ล้านบาท STEC มี backlog ปลายปี 49 จำนวน 2.55 หมื่นล้านบาท และเซ็นสัญญาใหม่ใน Q1/50 มูลค่ารวม 1.98 พันล้านบาท ทำให้มีมูลค่างานในมือเพิ่มเป็น 2.75 หมื่นล้านบาท และใน Q2/50 STEC ยังรอเซ็นสัญญาอีก 1 โครงการ มูลค่างาน 2.18 พันล้านบาท จะเน้นในงานโรงไฟฟ้าและงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีมากกว่า เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง จะเปิดประมูล IPP กลางปีนี้
ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ STEC จะได้รับงานจากงานประมูลในครั้งนี้ และยังมีโอกาสที่จะชนะในการประมูลการก่อสร้างเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง นอกจากนี้ STEC วางแผนที่จะเข้ายื่นเสนอราคางานอีกหลายโครงการในต่างประเทศจะสามารถขยายฐานรายได้ออกไปได้ และจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะสามารถเพิ่มรายได้ในอนาคต ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ"ซื้อ" โดยมีแนวรับที่ 5 บาท แนวต้าน5.50บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:5ce56392b8">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com