April 19, 2024   5:31:13 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > EGCOMPหุ้นดีปันผลงาม ทุกโครงการดันมูลค่าหุ้น
 

P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
วันที่: 16/02/2006 @ 19:53:01
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผลิตไฟฟ้า จะเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า มั่นใจแผนซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ได้ข้อสรุปภายในปีนี้แน่ เตรียมศึกษาลงทุนในลาวเพิ่ม หลังโครงการน้ำเทินคืบหน้าตามแผน ระบุขึ้นค่า FT ไม่ส่งผลกระทบ เหตุอัตราค่าไฟเป็นสัญญาระยะยาว นักวิเคราะห์ประเมิน EGCOMP กำไรดีขึ้นต่อเนื่องและปันผลจ่ายเพิ่มขึ้นทุกปี ราคาหุ้นเหมาะสมที่ 88-97บาท

นางจิราภรณ์ รุ่งศรีทอง ผู้จัดการส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCOMP เปิดเผยถึงความคืบหน้าเรื่องของการเจรจาซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาดกำลังผลิต 1,346 เมกะวัตต์ ที่บริษัทซีแอลพี เพาเวอร์เอเชีย จำกัด ถือหุ้นสัดส่วนประมาณ 50% นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาในรายละเอียดต่างๆ ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแต่อย่างใด แต่หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น พร้อมเข้าประมูล IPP รอบใหม่

ส่วนประเด็นเรื่องของการเข้าประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ (IPP) ทางบริษัทยังคงยืนยันที่จะเข้าประมูลโครงการ IPP แม้ว่าที่ผ่านมาทางคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (เรกกูเลเตอร์) บางส่วนนั้นไม่เห็นด้วยที่จะให้บริษัทเข้าร่วมประมูล หากมองในแง่ของปัจจัยพื้นฐานแล้วทางบริษัทมีความพร้อมและมีศักยภาพในการเข้าประมูล และจะทำให้ค่าไฟฟ้าที่ไปถึงมือประชาชนอยู่ในเกณฑ์ต่ำที่สุด เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านพื้นที่ก่อสร้าง เทคโนโลยี บุคลากร สายส่งต่างๆ จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวนั้น ทำให้บริษัทมั่นใจว่า ทางบริษัทจะสามารถเข้าร่วมประมูลโครงการ IPP รอบใหม่ได้ *น้ำเทินทันตามกำหนด-ลงทุนเพิ่มลาว

นางจิราภรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการเขื่อนน้ำเทินที่ ประเทศลาว ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะดำเนินก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2552 ขณะเดียวกันบริษัทก็มีแผนการลงทุนในประเทศลาวเพิ่มเติมอีก อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ สาเหตุที่บริษัทต้องการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มที่ลาวนั้น เนื่องจากที่ประเทศลาวยังมีความสามารถที่จะผลิตไฟฟ้าได้อีกมาก และประเทศไทยได้ลงนามแสดงเจตจำนง ในการซื้อไฟฟ้าจากประเทศลาวถึง 3000 เมกะวัตต์ ปัจจุบันยังคงเหลืออัตรากำลังการผลิตไฟฟ้าอีกกว่า 2,000 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ทางประเทศไทยเองก็ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตรากำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศลาวเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ดี ทางบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มอัตรากำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 3,400 เมกะวัตต์ ใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีอัตรากำลังการผลิตไฟฟ้าเพียง 2,400 เมกะวัตต์ ปัจจุบันเราถือหุ้น ในโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ของลาว กำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนี้เราจะมีรายได้เพิ่มจากโรงไฟฟ้ายะลา กรีน ที่จะเข้าระบบอีก 20 เมกะวัตต์ และปี 2550 จะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ที่เป็น IPP จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ส่วนโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 จะผลิตไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2552 ปรับขึ้นอัตราค่าFTไม่กระทบ

นางจิราภรณ์ กล่าวถึงการปรับเพิ่มค่า FT ว่า สำหรับประเด็นเรื่องของการปรับขึ้นค่า FT นั้น ทางบริษัทไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากอัตราค่าไฟของบริษัทได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาว ส่วนแนวโน้มเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากวงเงินที่บริษัทกู้ยืมจากสถานบันการเงินนั้น ทางบริษัทได้รับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นแบบ Fix Rate ดังนั้นทางบริษัทจึงไม่ได้กังวลในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด พื้นฐานเหมาะสมที่ 88-97บาท

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2548 อยู่ที่ 829 ล้านบาท ลดลง 6% เป็นผลจากรายได้ค่าความพร้อมจ่าย (AP) ลดลงเพียง 3% แต่ต้นทุนขายกลับเพิ่มขึ้นถึง 6% เนื่องจากในไตรมส 4/2548 มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาหลักทั้งที่โรงไฟฟ้าระยอง และโรงไฟฟ้าขนอมเพิ่มขึ้นราว 95%มาอยู่ที่ 304 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลงถึง 14%จากไตรมาสก่อน ขณะที่งวดนี้จะไม่มีการตัดจำหน่ายเงินลงทุนจากโครงการน้ำเทิน 2 เหมือนงวดที่ผ่านมา (ตัดจำหน่ายเป็นจำนวน 280 ล้านบาท) เพราะได้ทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงเพียง 6%

ทั้งนี้ได้มีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2548 ลง 15% จากประมาณการเดิมเนื่องจากได้รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้น ในไตรมาสที่ผ่านมาในประมาณการใหม่คือ 1. ขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยน 2. ค่าตัดจำหน่ายเงินลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 3/2548 นอกจากนี้ได้มีการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นมากว่า คาดการณ์ไว้ประมาณ 4% ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2548 มาอยู่ที่ 4,053 ล้านบาท ลดลง 13% แต่เมื่อพิจารณากำไรจากการดำเนินปกติ (Norm Profit) ที่ 4,828 ล้านบาท พบว่าทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2547

คาดว่า EGCOMP จะยังมีการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต จากโรงไฟฟ้าใหม่ตามแผนผู้บริหารคาดว่า จะได้ข้อสรุปในการเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าถ่านหิน BLCP (ปัจจุบันถือหุ้นโดย BANPU และ CLP สัดส่วน 50:50 และมีกำลังการผลิต 1,400 MW) ช่วงกลางปี 2549 นี้ ตามสัญญาที่ EGCOMP มีไว้กับ CLP ในการเข้าถือหุ้นในโรง ไฟฟ้า BLCP อย่างน้อย 25% แต่ทั้งนี้การเจรจาต่อรองการเข้าซื้ออาจเพิ่มขึ้นถึง 50% ได้หากทาง CLP ยอมตกลงขาย คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าให้ EGCOMP อย่างน้อยหุ้นละ 3.62 บาท นอกจากนี้ในปี 2550 คาดว่า EGCOMP จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ขนาดกำลังการผลิต 1,400 MW เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ และต่อเนื่องไปในปี 2552 ที่โรงไฟฟ้าน้ำเทินจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ตามแผน ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้

อย่างไรก็ตามประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2549 โดยใช้วิธี DCF อยู่ที่หุ้นละ 97 บาท (ยังไม่ได้รวมมูลค่าเพิ่มที่จะเกิดขึ้นจากโครงการลงทุนในอนาคต เช่น BLCP, แก่งคอย 2 และน้ำเทิน 2) ปัจจุบันราคาตลาดมี Upside อยู่ราว 17% ยังแนะนำซื้อลงทุนจากทั้งผลประกอบการที่คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องและนโยบายเงินปันผลจ่ายที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2548 คาดว่าเงินปันผลจ่ายทั้งปีจะอยู่ที่หุ้นละ 3.25 บาท เพิ่มขึ้น 8.3% คิดเป็น Dividend Yield ที่ 4% ซึ่งทำการจ่ายระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 1.50 บาท คาดที่เหลืออีกหุ้นละ 1.75 บาท จะจ่ายในงวดครึ่งหลังของของปี 2548

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว เป็นแนวทางที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของ EGCOMP ได้อีกทางหนึ่ง ในขณะที่การเปิดประมูลโรงไฟฟ้า IPP ในไทย ยังไม่มีข้อสรุปว่า จะให้ EGCOMP สามารถเข้าร่วมประมูลได้หรือไม่ ภายในปี 2549 และมีแผนที่จะซื้อเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับศักยภาพโครงการโรงไฟฟ้าที่ สปป.ลาว จะพัฒนาขึ้นในอนาคต (ประมาณ 4,000-5,000 เมกะวัตต์) ดังนั้นทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเป้าหมายของ EGCOMP ที่ประมาณ 88 บาท โดยใช้วิธี DCF คาดว่า EGCOMP จะจ่ายปันผลในครึ่งหลังของปี 2548 ที่ประมาณ 1.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 4% ต่อปี

ที่มา:
กระแสหุ้นรายวัน

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com