April 24, 2024   6:49:57 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 12วัน"แอมเพิล ริช"ทำมาร์เก็ตแคปหาย 6.7 หมื่นล้าน
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 09/02/2006 @ 18:18:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เพียง 12 วันทำการ ข่าวฉาว แอมเพิล ริช ทำมาร์เก็ต
แคปตลาดหุ้นไทยหดหาย 67,678.78 ล้านบาท หรือ
1.26% นักลงทุนหวั่นเหตุการณ์บานปลาย ชะลอลงทุนจนปริมาณการซื้อขาย
ฮวบ ขณะที่โบรกฯ ไทย-เทศเชื่อ การเมืองจะคลี่คลาย โดยขณะนี้ราคาหุ้น
สะท้อนรับข่าวไปหมดแล้ว มั่นใจดัชนีฯ ปีนี้มีเป้าหมายไปได้ถึง 790 จุด[/color:10ad6a92ec">


* โอ๊ค-เอม รับโอนหุ้น SHIN ราคาหุ้นละ 1 บาท
หลังจาก 23 มกราคม 2549 บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้
ประกาศว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกอบด้วยนางสาวพินทองทา ชินวัตร, นายบรรณ
พจน์ ดามาพงศ์, นายพานทองแท้ ชินวัตร, นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนาง
บุษบา ดามาพงศ์ ได้ทำการขายหุ้นสามัญในส่วนที่ถืออยู่ในบริษัททั้งหมด
จำนวน 1,487,740,120 หุ้น
หรือคิดเป็นร้อยละ 49.595 ของทุนชำระแล้วของบริษัทให้บริษัท ซีดาร์
โฮลดิ้งส์ จำกัด (Cedar) และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด (Aspen) แล้วใน
ราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมมูลค่า 73,300 ล้านบาท สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาติดๆ
คือ ข้อกังขาในการโอนหุ้นของบุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิน
วัตร

เนื่องจากมีการแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด
หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 นางสาวพิณทองทา และ
นายพานทองแท้ ชินวัตร ได้รับโอนหุ้น SHIN จำนวน 329 ล้านหุ้น ในราคาหุ้น
ละ 1.00 บาท จาก บริษัท ample rich investments ก่อน แทนที่จะขายหุ้น
จำนวนดังกล่าวให้เทมาเส็คโดยตรง ในราคา 49.25 บาท

* 12 วัน ทำมาร์เก็ตแคปลดลง 1.26%
ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง ที่นำมาโจมตี นายกรัฐมนตรี
อย่างหนัก โดยเฉพาะการถามหาจริยธรรมทางการเมือง จนทำให้นักลงทุน
ชะลอการลงทุนชั่วคราว ส่งผลให้การดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวลดลง
พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่หดหายลงไปด้วย
และที่สำคัญ ทำให้มาร์เก็ตแคป จากวันที่ 24 มกราคม 2549 ซึ่งอยู่ที่
5,351,512.35 ล้านบาท ร่วงมาอยู่ที่ 5,283,833.57 ล้านบาท ในวันที่ 8
มกราคม 2549 ซึ่งลดลง 67,678.78 ล้านบาท หรือ 1.26% ในระยะเวลา 12
วันทำการ เท่านั้น

* นายกฯ เผย 5 ปีมาร์เก็ตแคปเพิ่มมหาศาล
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวบรรยายพิเศษในวัน
ที่ 9 มกราคม 2549 เรื่องความร่วมมือระหว่างรัฐบาล กับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติว่า มูลค่าตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคปก่อนที่จะเข้ามารับ
ตำแหน่งนายกฯ มีเพียง 1.57 ล้านล้านบาทเท่านั้น แต่ ณ ขณะนี้มีสูงถึง 5.37
ล้านล้านบาท
ซึ่งถ้าหากช่วยกันให้มาร์เก็ตแคปของตลาดโตเท่า จีดีพี ของประเทศได้
ก็จะทำให้ตลาดฯ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยกันที่ผลัก
ดันให้ตลาดฯ ใหญ่ขึ้นให้ได้

* โบรกฯ ให้เป้าดัชนีฯ ปีนี้ 790 จุด
ขณะที่ นายสาธิต วรรณศิลปิน รองกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย
กล่าวว่า ได้เป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ไว้ที่ 790 จุด โดยประเด็นทางการ
เมือง เป็นปัจจัยลบที่กดดันดัชนีฯ ในระยะสั้นๆ เท่านั้น
ส่วนปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เนื่องจากประเด็น
ดังกล่าวยังไม่นิ่ง ซึ่งอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน
อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มพลังงานที่เคยโดดเด่นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ในปัจจุบัน อาจจะไม่น่าสนใจเท่าใดนัก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุน
ในหุ้นกลุ่มรองที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเพื่อความ
ปลอดภัยในการลงทุน

* เจพี มอร์แกน เชื่อบรรยากาศการเมืองจะคลี่คลาย
ด้าน เจพีมอร์แกน ได้ออกบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ระบุว่า ปัจจัยทางการเมืองยังคงเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยไปอีกในช่วง
หลายสัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากประเด็นการได้รับประโยชน์ด้านภาษีจากการ
ขายหุ้น SHIN ของนายกรัฐมนตรีเริ่มเชื่อมโยงไปสู่คดีซุกหุ้นก่อนการเลือกตั้ง
ปลายปี 2543
อย่างไรก็ตาม เจพีมอร์แกนเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เช่น
นายกฯ ประกาศลาออก หรือ ความแตกร้าวภายในพรรคไทยรักไทยคงจะไม่เกิด
ขึ้นในขณะนี้
โดยในมุมมองของเจพีมอร์แกนเชื่อว่า รัฐบาลจะปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในพรรค และหลังจากนั้นจะทำให้บรรยากาศทาง
การเมืองค่อยๆ คลายความร้อนแรงลง ขณะที่มุมมองที่เลวร้ายที่สุด เช่น การลา
ออกของรัฐมนตรี หรือการลาออกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคไทย
รักไทย จะไม่รุนแรงถึงขั้นกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย

* ราคาหุ้นสะท้อนข่าวลบไปแล้ว
เจพีมอร์แกนระบุด้วยว่า การลงทุน การฟื้นตัวของผลผลิตภาคการเกษตร
ฐานะการคลังที่ดีขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในปีนี้จะเป็นปัจจัย
บวกเชิงมหภาคที่สำคัญ แม้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดว่าจะขยายตัว
เพียง 3% ก็ตาม
ส่วนการฟื้นตัวของ SET index ทั้งที่ได้รับปัจจัยลบทางด้านการเมือง
แสดงให้เห็นว่า ความเสี่ยงทางการเมืองได้สะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว พร้อมกับ
แนะนำให้นักลงทุนเลือกเก็บหุ้นธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และพลังงาน ที่ราคา
ปรับลดลงมาแรง
นอกจากนี้ เจพีมอร์แกนยังคงชอบหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มรับ
เหมาก่อสร้าง แม้ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีความผันผวนตามความเสี่ยงทางการเมืองซึ่ง
อาจทำให้โครงการเมกะโปรเจ็กล่าช้าออกไป

ที่มา efinancethai.com[/color:10ad6a92ec">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com