ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 ก.ย. 63 ปิดที่ 1,267.63 จุด ลดลง 7.53 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 42,536.46 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,417.14 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด MINT ปิด 21.20 บาท ลบ 1.40 บาท, PTT ปิด 34.25 บาท ลบ 0.75 บาท, AOT ปิด 59 บาท ลบ 0.50 บาท, KBANK ปิด 76.50 บาท ลบ 2.50 บาท, TASCO ปิด 15.40 บาท ลบ 0.60 บาท

ตลาดหุ้นไทยร่วงตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่มีความกังวลวิกฤติโควิดในยุโรปที่กลับมาระบาด ขณะที่หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวลงกดตลาดภาพรวม หลังมีข่าวต่างประเทศรายงานข้อมูล โดยเปิดเผยชื่อธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ทั่วโลกที่มีส่วนพัวพันกับการโยกย้ายเงิน และการทำธุรกรรมการเงินอย่างผิดกฎหมาย ขณะที่มีการอ้างชื่อ 4 ธนาคารไทยด้วยคือ BBL-KBANK-KTB และ EXIM ส่งผลให้ธนาคารทั่วโลกที่มีชื่อเกี่ยวข้องราคาปรับตัวลงแรง รวมทั้ง 3 แบงก์ไทย

ขณะที่ข่าวตลาดหลักทรัพย์ประกาศให้กลับมาใช้เกณฑ์การซื้อขายปกติของการทำ Short sales เปลี่ยนจากเกณฑ์ Uptick Rule เป็น Zero trick rule และเปลี่ยน Ceiling & Floor จาก +/- 15% กลับมาเป็น +/- 30%

บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ยามที่สภาพแวดล้อมยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ หลังหลายประเทศกลับมา Lockdown เมือง ถือว่ายังสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ความผันผวนของตลาดกลับมาใหม่ โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ผลกระทบจากโควิด-19 โดยตรง
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงทำการคัดกรองหาหุ้นที่ผ่านบททดสอบโควิด-19 มาได้เป็นอย่างดี หลังจากตลาดปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ โดยผ่าน 4 เงื่อนไข ดังนี้ 1.หุ้นที่กำไรครึ่งปีแรก (1H20+YoY) โต YoY สวนทางตลาดที่ลดลง 59% YoY 2.หุ้นที่คาดกำไรครึ่งปีหลังโตจากครึ่งปีแรก (2H20F+HoH) 3.หุ้นที่คาดกำไรระยะยาวปี 63-64 (EPS Growth 2 ปี) เติบโตมากกว่า 0 และ 4.หุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะ “ซื้อ” และมี Upside > 0

ได้หุ้นสุดสตรอง ดังนี้ STA–GUNKUL–MTC–SAWAD– ASK–CPF–CHG–BCHJMART–STGT–MCS–INSET
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่าคาดว่าจะทำให้ปริมาณการชอร์ตกลับมาเร่งตัวขึ้น อาจส่งผลให้ SET เปิดความเสี่ยงขาลงมากขึ้น ท่ามกลางปัจจัยลบ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง, การระบาดโควิด-19 เป็นต้น

แนะใช้ความระมัดระวังหุ้นที่มี Valuation สูง หรือหุ้นที่แนวโน้มกำไร 3Q63 อ่อนแอ อาจเป็นเป้าหมายของการทำธุรกรรมชอร์ตเซลได้เช่นกัน!!


อินเด็กซ์ 51