thaihoon สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 14,583 | วันที่: 25/08/2020 @ 08:29:35 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต หากพูดถึง กลุ่มสิงห์ คนจะนึกถึงธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร โดยเฉพาะธุรกิจเครื่องดื่มที่มีทั้งแอลกอฮอล์และนอนแอลกอฮอล์
แต่จริง ๆ แล้ว สิงห์มีอีกธุรกิจหนึ่ง เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินการภายใต้บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S, บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR และกองรีทภายใต้ชื่อกองทรัสต์ SPRIME ซึ่งทั้งหมดอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารอาจได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่มาก แต่ธุรกิจอสังหาฯ เข้าขั้นเจ็บหนัก
เห็นได้ชัดว่าในไตรมาส 2 เปิดงบสิงห์ตัวแม่ S ออกมาขาดทุนมโหฬาร จากเดิมเคยมีกำไร 150 ล้านบาท ก็พลิกมาขาดทุนสูงถึง 620 ล้านบาท
ส่วนรายได้ลดลง 61% อยู่ที่ 927 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายบ้านและอาคารชุดลดลง 51% จากการชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ของลูกค้าบางกลุ่ม และรายได้จากการให้เช่าและการให้บริการลดลง 71% เนื่องจากโรงแรมต้องหยุดให้บริการชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์
ขณะที่ครึ่งปีแรก S ขาดทุน 322 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 419 ล้านบาท
ฟากสิงห์ตัวลูกอย่าง SHR สถานการณ์ยิ่งแย่
ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง จากเดิมขาดทุนแค่ 156 ล้านบาท ไตรมาสนี้ขาดทุนเพิ่มเป็น 810 ล้านบาท
ส่วนงวดครึ่งปีแรกขาดทุน 575 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 201 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากต้องหยุดให้บริการโรงแรมชั่วคราวในทุกประเทศ
กลายเป็นที่มาของ สิงห์บาดเจ็บ
ในบรรดาสิงห์ 3 ตัว เห็นจะมีแค่กองทรัสต์ SPRIME ที่พอจะประคองตัวได้ ยังโชว์กำไร 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 76 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกตุนกำไรไว้แล้ว 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 136 ล้านบาท
ถ้าไปย้อนดูแบ็กกราวด์ของสิงห์แต่ละตัวก็น่าสนใจ
อย่างสิงห์ตัวแม่ S เข้าตลาดฯ มาใช้วิธีพิเศษด้วยการแบ็กดอร์บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ RASA เมื่อปลายปี 2557 จากนั้นก็สร้างพอร์ตด้วยการไปซื้อแอสเซทของครอบครัว ภิรมย์ภักดี มาพัฒนาต่อ
หลายปีที่ผ่านมาทำผลงานโดดเด่น
เติบโตทั้งรายได้และกำไร
แต่พอปี 2563 ถือว่าย่ำแย่ นอกจากจะม่เห็นโครงการใหม่แล้ว โครงการเดิมก็แทบขายไม่ได้ ทำให้งบการเงินออกมาไม่ดี..!!
ด้าน SHR ก็เพิ่งเข้าตลาดฯ มา (12 พ.ย. 2562) ใช้วิธีพิเศษเช่นกัน ด้วยเกณฑ์มาร์เก็ตแคป ซึ่งสร้างความฮือฮาอยู่พักหนึ่ง
หลังเข้าตลาดฯ SHR ก็นำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปซื้อแอสแซท (กลุ่มโรงแรม) จากครอบครัว ภิรมย์ภักดี มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ตามเงื่อนไข IPO (เท่ากับว่าบริษัทไม่ต้องควักเงินสักแดงเดียว แต่ใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนแทน
ส่วนครอบครัว ภิรมย์ภักดี ก็รับทรัพย์ก้อนใหญ่เข้ากระเป๋าไป
เป็นเกมเงินต่อเงินที่บรรดาเจ้าสัวชอบทำกัน)
แต่บังเอิ๊ญบังเอิญ ช่วงระหว่างดำเนินการซื้อแอสเซทนั้น โชคร้ายมาเจอโควิด-19 พอดิบพอดี เลยได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ เห็นได้ชัดจากงบการเงินที่โชว์หราตัวเลขขาดทุนบักโกรก
หันไปดูราคาหุ้นก็ทรุดโทรมหนัก
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาหุ้น S ปรับลดลงแล้ว 43% จนกลายเป็นหุ้นต่ำ 2 บาทไปแล้ว ส่วนมาร์เก็ตแคปหายไปแล้วกว่า 7,000 ล้านบาท
ด้าน SHR ยังคงสถานะเป็นหุ้นต่ำจอง (IPO 5.20 บาท) เสมอต้นเสมอปลาย โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาปรับลดลงเกือบ 40% มาร์เก็ตแคปหายไปกว่า 4,000 ล้านบาท
ทำให้จากกลุ่มสิงห์เจ้าป่า
วันนี้น่าจะกลายเป็นลูกแมวไปแล้วมั้ง
|