ดัชนีหุ้นไทย วันที่ 16 ก.ย.62 ปิดที่ 1,662.93 จุด บวก 0.97 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 61,474.55 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,069.29 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 47 บาท บวก 1.50 บาท, CPALL ปิด 82 บาท ลบ 0.75 บาท, PTTEP ปิด 125 บาท บวก 2.50 บาท, PTTGC ปิด 57 บาท บวก 2.25 บาท, GULF ปิด 156.50 บาท บวก 7.50 บาท

บล.เอเซียพลัสระบุว่า ฝ่ายวิจัยฯได้ประเมินผลกระทบราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากเหตุโจมตีโรงน้ำมัน (Oil Facility) ของซาอุฯ ต่อหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ หุ้นที่เสียประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มสายการบิน หากราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้นมา 60-65 เหรียญฯ เนื่องจากหากราคาน้ำมันดิบต่ำกว่า 60 เหรียญฯ เหมือน 1-2 เดือนที่ผ่านมา ก็เป็นระดับที่ลดลงถึง 18% yoy แต่ที่ราคาปัจจุบันลดลงในอัตราที่ต่ำลง เหลือ 10-15%

ประโยชน์ที่ AAV, BA และ THAI ควรได้รับจากน้ำมันส่วนที่ยังไม่ทำสัญญาล่วงหน้า ราว 22.5%, 27.5% และ 42% ของปริมาณใช้ครึ่งปีหลัง จึงจะลดลงมีนัยสำคัญ หากพิจารณาภาพทั้งปีราคาน้ำมันมีโอกาสสูงกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยฯ ให้ที่ 60 เหรียญฯ ซึ่งเป็น Downside ต่อผลประกอบการทุกสายการบิน

กลุ่มวัสดุก่อสร้างเสียประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนพลังงานทั้งถ่านหิน, ค่าไฟฟ้า, ก๊าซธรรมชาติ ให้ปรับขึ้นตาม โดยบริษัทที่จะเสียประโยชน์ คือ TASCO สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์มีต้นทุนพลังงาน 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด โดยแบ่งเป็น ถ่านหิน 30% และค่าไฟฟ้า 30% โดยค่าไฟฟ้าขึ้นอยู่กับค่า Ft ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต

ขณะที่ธุรกิจกระเบื้องอย่าง DCC แม้จะมีโครงสร้างต้นทุนมาจากก๊าซธรรมชาติสูงถึง 30% แต่ราคาก๊าซจะมี Lag time จากราคาน้ำมันเตา 4-6 เดือน จึงยังไม่ส่งผลกระทบทันที แต่ DCC อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากค่าขนส่ง ซึ่งสัดส่วนราว 7% ของยอดขาย

กลุ่มขนส่ง Logistic จากการประเมินเบื้องต้น พบว่า สัดส่วนของต้นทุนโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าของกลุ่มจะอยู่ที่ 2-4% ของยอดขาย โดยรวมเชื่อว่าจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อ WICE และ JWD

ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์คือ กลุ่มน้ำมัน และโรงกลั่น PTT– PTTEP–TOP–BCP–PTTGC และ IRPC.