ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ได้ปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ปี 2562 โดยปรับลดลง 2.25% จากประมาณการเดิม ได้ตัวเลขกำไรสุทธิใหม่อยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 103.32 บาทต่อหุ้น เติบโต 5.6% จากปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับลดสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบลง จากเดิม 65 เหรียญฯ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 60 เหรียญฯ/บาร์เรล ผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าที่ยืดเยื้ออย่างต่อเนื่อง

ดัชนีเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 1,699 จุด (บนสมมุติฐาน Market Earning Yield Gap 4.28%) จากเดิมมองไว้ที่ 1,705 จุด และหากเปรียบเทียบ Valuation ของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค พบว่ามีความน่าสนใจลดลง ทั้งในมุมของ Expected PE ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 16.2 เท่า ระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชีย และยังแพงกว่าตลาดหุ้นจีน 11.2 เท่า และอินโดนีเซีย 15.5 เท่า

ส่วนแนวโน้มการเติบโต หรือ EPS Growth ของปี 2562 คาดว่าเติบโตได้น้อยกว่าหลายๆประเทศในเอเชีย อาทิ อินเดียเติบโต 17.3%, ฟิลิปปินส์ 9.3%, อินโดนีเซีย 8.3%, และจีน 6.9% ขณะที่ไทยเติบโต 5.6%

กลยุทธ์การลงทุนเน้น “Selective Buy” และเลือกหุ้นที่มี Valuation โดดเด่นกว่าตลาดฯ

RS แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย ที่ 22.10 บาท โดย ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนด้วย 3 ปัจจัย 1) ธุรกิจกลับมาเติบโตชัดเจน ในส่วนของธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง (MPC) ที่เริ่มขายสินค้าผ่านช่องไทยรัฐตั้งแต่ช่วงต้น มี.ค. 2562 หนุนยอดขายในงวดไตรมาส 2/2562 มีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ 2) มาตราการช่วยเหลือจากทางภาครัฐ หนุนให้ค่าตัดจำหน่ายและดอกเบี้ยจากใบอนุญาตปี 2562 ลดลงกว่า 74 ล้านบาท 3) การประกาศลดทุนจากหุ้นซื้อคืน (จำนวน 43.27 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.26% ของทุนจดทะเบียน) ส่งผลให้ EPS ในปีนี้ เพิ่มขึ้นราว 4% ด้วยปัจจัยบวกทั้งหมดทั้งมวล หนุนกำไรปี 2562 อยู่ที่ 787 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 53%

SCCC แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 269 บาท หากไม่รวมรายการค่าใช้จ่ายตาม พ.ร.บ. แรงงานฉบับใหม่ พบว่ากำไรยังเติบโตต่อเนื่องตามแนวโน้มความต้องการใช้และราคาปูนซีเมนต์ในประเทศที่ฟื้นตัว ขณะเดียวกันยังได้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากโครงการที่ลงทุนในตลาดต่างประเทศในช่วงก่อนหน้าได้เต็มที่ รวมถึงประเด็นสงครามการค้ากดดันราคาถ่านหินให้ปรับตัวลงราว 28%(ytd) ได้หนุนต้นทุนการผลิตต่ำลง เพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร