thaihoon สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 14,583 | วันที่: 11/03/2019 @ 08:26:03 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต
4 โบรกฯ ในงานมหกรรมวิเคราะห์การลงทุนปี 62 มองหุ้นไทยหลังเลือกตั้งสดใส ลุ้น MSCI เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทย-ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า แนะลงทุนหุ้นธีม Domestic Play
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บล.บัวหลวง มองเป้า SET ปี 62 ที่ 1,738 จุด เเนะลงทุนธีม Global Play-Domestic Play วางเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 62 ที่ 1,738 จุด อิง P/E ที่ 15.8 เท่า และ EPS (กำไรสุทธิต่อหุ้น) ที่ 110 บาท โดยในปีนี้มีปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่เติบโตชะลอลงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่เติบโตชะลอลงตามไปด้วย ซึ่งคาดว่าจีดีพีของประเทศไทยปีนี้จะเติบโต 3.9% แต่อย่างไรก็ตาม จากภัยธรรมชาติเอลนีโญ จะทำให้ราคาพืชผลการเกษตรปรับตัวดีขึ้น
- สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ แนะนำในช่วงครึ่งปีแรกให้ลงทุนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจโลก (Global Play) ประกอบไปด้วยTOP,IVL และ PSL ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังเพื่อหลีกเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Play) ประกอบไปด้วย CPF,CPALL,TU,BJC,CBG,COM7,OSP,M,GLOBALและ WHA
- ในระยะสั้นมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีแตะ 1,738 จุด ในช่วงกลางปี 62 หรือช่วงปลายไตรมาส 2/62 เนื่องจากตลาดยังไม่ได้สะท้อนเชิงบวกจากปัจจัยการเลือกตั้งในประเทศ โดยคาดว่าหลังจากได้ข้อสรุปรัฐบาลชุดใหม่จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น และจะประเมินว่านโยบายหรือสวัสดิการต่างๆ มากระตุ้นภาคการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้น พร้อมทั้งนโยบายลงทุนโครงการเมกะโปรเจคที่ต่อเนื่อง
- ขณะเดียวกัน ปัจจัยต่างประเทศ อย่างสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีทิศทางที่ดีขึ้นและมีโอกาสที่จะคลี่คลายในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ MSCI Index ในเดือนมี.ค. จากเดิมที่คิดคำนวณจาก Foreign Share ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ โดยคิดคำนวณจาก NVDR แทน เกณฑ์นี้จะทำให้น้ำหนักในหุ้นไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 2.5% สู่ 3.0% ส่งผลให้ได้รับความน่าสนใจจากกองทุนต่างชาติมากขึ้นโดยคาดว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 1 พันล้านเหรียญฯ
- หุ้นที่จะได้อานิสงส์ในไตรมาส 2/62 ประกอบไปด้วย CPF,CPALL,BJC,CBG,COM7,OSP,M,GLOBAL,WHA,IVL,PSL และ TOP
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้เป็นช่วงขาขึ้น โดยวางเป้าดัชนีที่ 1,825 จุด อิง P/E ที่ 15.7 เท่า จากปัจจัยสนับสนุนนโยบายการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐบาลและอปุสงค์ภายในประเทศ แต่อย่างไรตาม คาดว่าบริษัทปรับเป้าจีดีพีของประเทศไทยปีนี้เหลือโต 3.3% จากภาคการส่งออกที่ปีนี้มีแนวโน้มจะติดลบ จากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตชะลอลงตัว
- ในระยะสั้นหรือหลังช่วงเดือนมีนาคม มีโอกาสที่ดัชนีจะขึ้นไปแตะ 1,720-1,760 จุด เนื่องจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังจับดูรัฐบาลชุดใหม่ที่จะได้จากการเลือกตั้ง ซึ่งการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ MSCI Index ในเดือนมี.ค. จะทำให้น้ำหนักในหุ้นไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวมีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะกลับเข้าตลาดหุ้นไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ กลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้น แนะนำในหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณใน MSCI ได้แก่ INTUCH, DTAC, CENTEL,BDMS และ SCC
- สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic) ได้แก่ PTT,BGRIM,BBL,CPALL,STEC,CK,AMATA,WHA,SAWAD และ PLANB
ขณะที่ นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ตั้งเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,750 จุด อิง P/E ที่ 16.7 เท่า ประเมินปัจจัยในประเทศยังคงเป็นผลบวกแก่ตลาดหุ้น อาทิการฟื้นตัวของตัวเลขนักท่องเที่ยว,ตัวเลขเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่ต่ำ ลงทุนโครงสร้างระบบ IT เพื่อรองระบยุคดิจิทัล เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามตัวเลขค่าเงินบาทที่ค่อนข้างผันผวนซึ่งมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจขนส่ง สำหรับจีดีพีในประเทศไทยปีนี้จะเติบโตได้ 3.9% และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะเติบโต 8%
- ส่วนประเด็นการเลือกตั้ง คาดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกในช่วงก่อนการเลือกตั้ง และมีโอกาสที่จะแกว่งตัวลงหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องจับตาดูรัฐบาลชุดใหม่ที่จะทราบผลหลังการเลือกตั้งว่าออกมาเช่นไร แต่ในเบื้องต้นคาดว่าจะรัฐบาลผสม และนโยบายการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคยังคงมีความต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าลงทุนคมนาคมที่ 1 ล้านล้านบาท และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก มูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท จะทยอยผลักดันออกมาหลังจากจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
- ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศ ยังคงมีความไม่แน่นอน จากกรณีสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปในตอนนี้ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวได้อย่างจำกัด ด้านตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ชะลอลงโดยเฉพาะยุโรปและจีนที่เติบโตได้ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ในระยะสั้นต้องติดตามการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ MSCI Index ในเดือนมี.ค. จากเดิมที่คิดคำนวณจาก Foreign Share ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ โดยคิดคำนวณจาก NVDR แทน โดยเกณฑ์นี้จะทำให้น้ำหนักในหุ้นไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ได้รับความน่าสนใจจากกองทุนต่างชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามการเพิ่มน้ำหนักในหุ้นจีนหรือ A-Shares ของ MSCI Index ก่อนหน้าที่จะทยอยเพิ่มจาก 5% เป็น 20% ว่าจะดึงดูดฟันด์โฟลว์ไปยังตลาดหุ้นได้มากน้อยเพียงใด
- สำหรับธีมการลงทุนในหุ้นที่อิงนโนบายการลงทุนโครงการเมกะโปรเจค,ดิจิทัล และโรโบทิค,รถยนต์ไฟฟ้า,การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว,ขนส่งและสังคมสูงอายุ ประกอบไปด้วย STEC,CK,SCC,AMATA,WHA,BBL,KBANK,BEMBTS,HANA,SVI,COM7,ADVANC,DELTA,EA,AOT,TKN,CENTEL,ERW,CPALL,VGI,BDMS และ RJH
- ทั้งนี้ หุ้นTop Pick ประกอบไปด้วย AMATA ราคาเป้าหมาย 26 บาท AOT ราคาเป้าหมาย 75 บาท BBL ราคาเป้าหมาย 250 บาท BEM ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท ,ERW ราคาเป้าหมาย 9 บาทและSTEC ราคาเป้ามาย 31 บาท
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด วางเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,740 จุด อิง Forward P/E 15.8 เท่า และกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 110 บาท จากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เริ่มคลี่คลาย อาทิ การเจรจาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น การส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอขึ้นดอกเบี้ย,ราคาน้ำมันที่เริ่มฟื้นตัว และการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจน ทำให้นักลงทุนเกิดการคลายกังวลได้อย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะทำให้กองทุนและสถาบันต่างประเทศมีความเชื่อมั่นมากขึ้นหลังจากมีการปรับเปลี่ยนรัฐบาลที่ได้จากการเลือกตั้ง
- แต่ในระยะสั้นหรือ 1 - 2 ไตรมาส มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ MSCI Index ในเดือนมี.ค. ที่นำ NVDR มาคิดคำนวณฟรีโฟลต โดยเกณฑ์นี้จะทำให้น้ำหนักในหุ้นไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ได้รับความน่าสนใจจากกองทุนต่างชาติมากขึ้น ซึ่งคาดว่ามีโอกาสที่ฟันโฟลด์จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ปัจจัยในประเทศ อย่างการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีมาใช้ TFRS15 และ TFRS16 ทำให้บริษัทจดทะเบียนต้องมีการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างมีนัยสำคัญราว 4% และค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกปี 62 เพียงครั้งเดียว
- สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ แนะนำนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจที่มีการต่อยอดธุรกิจใหม่ โดยมีการให้บริการแบบใหม่หรือมีสินค้าใหม่,หุ้นกลุ่มก่อสร้าง ที่มีปัจจัยสนับสนุนภาครัฐผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยหุ้นเด่นในปีนี้ ประกอบไปด้วย SCCC ราคาเป้าหมาย 280 บาท,AMATA ราคาเป้าหมาย 25 บาท,KCE ราคาเป้าหมาย 33 บาท,JWD ราคาเป้าหมาย 11.70 บาท,OSP ราคาเป้าหมาย 33 บาท
รายงาน กฤษฎิ์ รัตนธีระธาดา
เรียบเรียง จำเนียร พรทวีทรัพย์
อนุมัติ พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
|