ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 6 ธ.ค.61 ปิดที่ 1,653.73 จุด ลดลง 18.59 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 38,682.06 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 814.97 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 50.25 บาท ลบ 1.25 บาท, PTTEP ปิด 138.50 บาท ลบ 1.50 บาท, AOT ปิด 65.25 บาท ลบ 0.75 บาท, ADVANC ปิด 177 บาท บวก 0.50 บาท, PTTGC ปิด 79.75 บาท ลบ 1.25 บาท

บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ประเด็น กสทช.อุ้มทีวีดิจิทัล ระบุว่า กสทช.ได้เผยแผนงานปี 62 ที่มุ่งลดภาระผู้ให้บริการธุรกิจโทรคมนาคมและทีวีดิจิทัล โดยจะทบทวนเงื่อนไขและระยะเวลาชำระเงินค่าประมูลคลื่นความถี่ รวมทั้งที่จะประมูลใหม่ (5G) ให้เหมาะสมไม่เป็นภาระต่อผู้ประกอบการ

พร้อมเสนอลดค่าใช้จ่าย คือ 1.ขยายเวลาช่วยเหลือ Must Carry ที่จ่ายแต่ละปี 14 ล้านบาทต่อช่อง จากเดิม 60-62 เป็นปี 65 2.ขยายเวลาช่วยเหลือค่าเช่าโครงข่าย (MUX) 50% ของค่าเช่าปีละ 43 ล้านบาท ต่อช่อง กรณีเป็นช่องธรรมดา แต่ถ้าเป็นช่อง HD จะสูงกว่านี้ 2.ยกเลิกการจ่ายค่าใช้อนุญาตที่เหลือ (สัญญาจ่าย 11 ปี) หลังจ่ายไปแล้ว 5 ปี (57-61) และมีการพักชำระหนี้ 3 ปี ยกเว้นบางช่องที่จ่ายตามสัญญาแล้วถึงปี 61คือ BEC, WORK, True Vision และช่อง 7 ทำให้ยอดเงินคงค้างเหลือน้อยสุด

เอเซียพลัส ประเมินว่าเป็น sentiment เชิงบวกต่อผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทุกราย เนื่องจากจะช่วยลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายลงจากเดิมมาก โดยการตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้เวลา 15 ปี ที่ผ่านมาเท่ากับตัดจ่ายไป 4 ปี ที่เหลือจะนำมาเกลี่ยในช่วงที่เหลือ และยังช่วยให้กระแสเงินสดและผลดำเนินงานของผู้ประกอบการที่ส่วนใหญ่ติดลบ และยังขาดทุนให้ดีขึ้น ยกเว้น BEC, WORK, MONO, RS ที่กระแสเงินสดเป็นบวกอยู่แล้วก็จะดีขึ้น

สำหรับระยะยาวนอกจากทีวีดิจิทัลยังต้องเผชิญกับกระแส Digital Disruption เช่น Social Media แล้ว ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันด้าน Content ที่รุนแรงขึ้น ทำให้เม็ดเงินโฆษณาถูกกระจายไปสื่อรูปแบบใหม่ๆเพิ่มขึ้น

หากผู้ประกอบการที่จะอยู่รอดต้องเป็นผู้ที่ใช้จุดแข็งตนเอง ปรับตัวและสร้างรายได้รูปแบบใหม่หรือไปร่วมมือกับแพล็ตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้อยู่รอดได้ เช่น BEC, WORK, MONO,RS

ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่าการที่ภาระผู้ประกอบการลดลงค่อนข้างมาก อาจทำให้ผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในทีวีดิจิทัล ซึ่งอาจเห็นการซื้อหรือควบรวมกิจการเกิดขึ้นได้!!

อินเด็กซ์ 51