ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 ต.ค.61 ปิดที่ 1,748.09 จุด ลบ 12.38 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 64,224.08 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,273.83 ล้านบาท กองทุนในประเทศขายสุทธิ 2,743.30 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 54.50 บาท ลบ 0.25 บาท, PTTEPปิด 156.50 บาท ลบ 3.50 บาท, CPALL ปิด 69.75 บาท บวก 0.25บาท,AOT ปิด 64.50 บาท ลบ 0.50 บาท และ PTTGC ปิด 80.75 บาท ลบ 1 บาท

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงทะยานขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมายืนเหนือ 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลแล้ว ทำให้ค่าเฉลี่ยจากต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ราว 70.2 เหรียญ ดีกว่าสมมติฐานที่เอเซียพลัสประเมินไว้ปี 61 ที่ 65 เหรียญ ปี 62 ที่ 70 เหรียญ และปี 63 อยู่ที่ราว 75 เหรียญ

ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินจากปัญหาด้าน supply เป็นหลักคือ ผลจากการที่สหรัฐฯ คว่ำบาตรอิหร่าน ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบโลกหายไปวันละ 5.8 แสนบาร์เรล ขณะที่การควบคุมการผลิตน้ำมันดิบโลก ยังจะมีต่อเนื่องถึงสิ้นปีนี้ และการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯมีแนวโน้มลดลง

ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นและดีกว่าที่ประเมินไว้ จะเริ่มเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการโดยรวมสูงขึ้น แต่จะหนุนผู้ประกอบการน้ำมัน เช่น PTTEP และ PTT ครึ่งปีหลังจากสต๊อกน้ำมันดิบ ซึ่งหากกำหนดให้ราคาน้ำมันดิบไตรมาส 4 ปีนี้ แกว่งตัว 75-80 เหรียญต่อบาร์เรล จะทำให้ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันปี 61 อยู่ที่ 71.2-72.4 เหรียญ ประมาณการกำไรปี 61 ของ PTTEP และ PTT ก็จะดีกว่าคาดเล็กน้อย

หากยึดหลักระมัดระวัง โดยกำหนดราคาน้ำมันดิบระยะยาวตามสมมติฐานเดิมของฝ่ายวิจัยฯ มูลค่าพื้นฐานปี 61 และ 62 ของ PTTEPและ PTT ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมนัก คือที่ 137 บาท และ 54 บาทตามลำดับ

โดย PTTEP นั้น ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มที่อาจเกิดขึ้น หากชนะประมูลแหล่งก๊าซบงกช G2/61 ได้ ภายใต้การถือหุ้น 66.67% เท่าเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นให้ PTTEP อีก 25 บาท

หากเป็นกรณีที่ดีมากคือ ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบระยะยาวขึ้นปีละ 5 เหรียญ คือปี 62 เป็น 75 เหรียญ และปี 63 เป็น 80 เหรียญ มูลค่าหุ้น PTTEP และ PTT จะเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหุ้นละ 10 บาท และ 2 บาท ตามลำดับ ซึ่งถือว่ามี upside จำกัด!!

อินเด็กซ์ 51