March 29, 2024   5:41:53 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เจาะประเด็นขาย ทำไม SET ร่วงต่อ วอลุ่มหนัก
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 30/03/2018 @ 08:57:00
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เป็นคำถามในการซื้อขายระหว่างวัน (พฤหัสฯ 29 มี.ค.) ที่ดัชนี SET หลุดจุดต่ำสุดเดิมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนก.พ.ที่ 1,758 จุด วอลุ่มรวมทั้งวันอยู่ที่ 8.4 หมื่นล้าน ย้ำภาพการปรับฐานตลอดทั้งสัปดาห์และความผันผวนตลอดเดือน แบบไม่สน "Window Dressing" ซึ่งจะปิดตลาดจบไตรมาสแรกในวันศุกร์ 30 มี.ค. นี้ ด้วยแรงขายสลับออกมาในหุ้นบิ๊กแคบหลายกลุ่มอุตสาหกรรม


เมื่อตลาดผันผวน ความเสี่ยงสูง นักลงทุนจึงเล็งเป้าไปยังหุ้นปลอดภัยและแกว่งขึ้นลงน้อยกว่าตลาด หนีการขาดทุนในพอร์ตระยะสั้น


"วิกิจ ถิรวรรณรัตน์" ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.บัวหลวง บอกกับ Money Channel ว่า ภาพรวม SET index อยู่ภายใต้เซนติเมนต์การลงทุนเชิงลบ เพราะที่ผ่านมาดัชนีฯ ถูกขับเคลื่อนด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่ตลาดเคยคาดหวังผลประกอบการที่ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ปัจจุบันปัจจัยบวกดังกล่าวได้เปลี่ยนไปเป็นความกังวลในด้านลบต่อผลประกอบการที่อาจจะถูกปรับลดประมาณการ จึงทำให้เกิดภาวะการขายออกมาอย่างชัดเจน


อาทิ หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ออกมาประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งคาดเริ่มจะมีผลกระทบต่อกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป โดยเบื้องต้นค่ายบัวหลวงประเมินผลกระทบต่อการปรับประมาณการกำไรสุทธิลดลงเฉลี่ย 4.5-5.0% นอกจากนั้น หุ้นกลุ่มนี้ยังถูกกดดัน หรือมีประเด็น "Overhang" ในเรื่องเตรียมถูกเก็บค่าธรรมเนียมเข้าสู่กองทุนฟื้นฟู แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ปรับขึ้น แต่อยู่ระหว่างรอการใช้ เพราะกฎหมายผ่านแล้ว


โดยทั้ง 2 ปัจจัยลบดังกล่าว ยังไม่มีการนำมาวิเคราะห์อย่างชัดเจนว่าจะเกิดผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นเท่าไหร่


ส่วนในหุ้นกลุ่มโรงกลั่น มีประเด็นกดดันจากแผนปรับสูตรโครงสร้างในการคำนวณราคาเชื้อเพลิงหน้าโรงกลั่นใหม่ โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีความคืบหน้าจากหารือของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในวันที่ 5 เม.ย.นี้ ซึ่งอาจจะมีผลฉุดกำไรกลุ่มโรงกลั่นลดลง แต่คาดว่าจะมีผลกระทบไม่มากเท่าที่ควร และเชื่อว่าราคาหุ้นโรงกลั่นส่วนใหญ่ได้สะท้อนปัจจัยลบนี้ไปบ้างแล้ว ซึ่งหากมีความชัดเจนถึงผลกระทบ และมูลค่าหุ้นที่สูญไป ก็เชื่อว่าหุ้นกลุ่มโรงกลั่นน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีอีกครั้ง หลังจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 2/2561


มาที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ถูกฉุดจากประเด็นข่าวทางการจะปรับราคารับซื้อไฟฟ้าถูกลงกว่าเดิม แต่โดยเบื้องต้นทางบัวหลวงคาดว่าหุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง BCPG, GPSC และ GULF จะไม่กระทบ เพราะส่วนใหญ่วางแผนจะไปขยายที่ต่างประเทศกันหมดแล้ว


สำหรับประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน คุณวิกิจบอกว่าเป็นความเสี่ยงที่สร้างแรงกดดันในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ เป็นต้น โดยเชื่อว่านโยบายกีดกันการค้าจะมีความชัดเจนในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า


มุมมองค่ายบัวหลวงในระหว่างรอให้ SET index กลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแรงขายเบาบางลง การเลือกหุ้นที่ปลอดภัยจากความผันผวนรอบนี้ จึงควรเน้นกลุ่มอิงการบริโภคในประเทศฟื้น และมีสตอรี่เชิงบวกแบบรายตัว เพื่อหลีกเลี่ยงถูกเปิด "Short Position" ซึ่งได้แก่ :

*กลุ่มโรงพยาบาล นักวิเคราะห์ชอบหุ้น BDMS และ BH ที่มีทิศทางกำไร Q1/2561 ฟื้นตัวได้ดี ซึ่งในรายของ BDMS มีประเด็นบวกที่ถูกหยิบมาเก็งกำไร ก็คือโอกาสขายเงินลงทุนในบางกิจการ เพื่อนำมาลดต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย และนำเงินสดไปขยายกิจการ Wellness Center โดยไม่เป็นภาระหนี้สินต่อทุน

*ธุรกิจรีเทล คือ COM7 ที่มีข่าว Apple ออก iPad ราคาถูก เหมาะกับตลาดเพื่อการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะเป็นบวกในการรุกธุรกิจ U-Store

*กลุ่มโรงกลั่นและธนาคาร แม้จะมีแรงขายออกมาหนาแน่น แต่หากแรงขายซบเซาลงและตลาดตีความมูลค่าผลกระทบด้านลบได้ชัดเจน นักวิเคราะห์มองเป็นโอกาสกลับเข้าซื้อสะสมได้เช่นกัน


"คิดว่าถ้าจะรอปัจจัยบวกช่วงสั้นๆ คงต้องรอดูงบแบงก์ไตรมาสแรกที่จะประกาศในช่วงสงกรานต์ว่าจะออกมาดีชดเชยมุมมองลบจากกรณีสงครามค่าธรรมเนียมได้หรือไม่ ซึ่งกรณีถ้าออกมาดูดี มีโอกาสราคาหุ้นแบงก์จะกลับฟื้นตัวได้อีกครั้ง ส่วนกรอบเคลื่อนไหว SET index จะอยู่แถว 1,740-1,750 จุด ส่วนกรอบบนอยู่แถว 1,780-1,790 จุด แต่ถ้ากรณีงบแบงก์ไตรมาสแรกออกมาย่ำแย่ และในทางเทคนิคถ้ามีแรงขายมาก ก็มีโอกาสดัชนีฯ จะลงไปแตะฐาน 1,700 จุดก็เป็นไปได้ และก็คงจะหมดหวังที่จะเห็นดัชนีฯ ขึ้นไปทำ All Time High ใหม่อีกครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้" คุณวิกิจ กล่าว


นักวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เลือกหุ้นในกลุ่มอสังหาเพื่อที่อยู่อาศัย เป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัยจากแรงขายในภาวะ SET มีความผันผวนระยะสั้น เพราะรับรู้แรงเทขายในช่วงที่ผ่านมาแล้ว และน่าจะมีปัจจัยหนุนจากผลกำไรฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้เป็นต้นไป โดยกำไรปกติของกลุ่มนี้คาดว่าจะเติบโต 11.4% ในปี 2561 และ 10.3% ในปี 2562 หลังจากที่ทรงตัวในปี 2560


โบรกเกอร์รายนี้ระบุว่าจากการประเมินผู้ประกอบการทั้ง 8 บริษัทฯ พบว่ามียอด Backlog รวม 2.26 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี จากความสำเร็จของการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าและผู้เล่นรายใหญ่ที่ชิงส่วนแบ่งจากผู้เล่นขนาดกลางและเล็ก


ซีไอเอ็มบีฯ เลือกหุ้น Top picks ที่มองว่าปลอดภัยและมีความน่าสนใจ ได้แก่ :

*AP: แนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งและเป็นผู้นำในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลาง

*QH: คาดแนวโน้มยอดขายและรายได้เพิ่มขึ้น ช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นฟื้น

*SPALI: คาดจะมียอดขายโดดเด่น รายได้เติบโตชัดเจน และน่าจะกลับมาจ่ายเงินปันผลอีกครั้ง

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com