มีมูลค่าซื้อขาย 69,970.69 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 5,073.14 ล้านบาท กองทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,043.69 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 1,137.24 ล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 2,892.21 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 562 บาท บวก 6 บาท, CPALL ปิด 87 บาท บวก 2.25 บาท, EA ปิด 59.75 บาท ลบ 3.50 บาท, BANPU ปิด 23.20 บาท บวก 0.50 บาท และ PTTEP ปิด 111.50 บาท ลบ 3.50 บาท

หุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศจากความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯและการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) โดยระหว่างวันตลาดปรับตัวลงแรงร่วม 20 จุด จากแรงขายของต่างชาติก่อนจะมีแรงซื้อคืนจากนักลงทุนในประเทศ ช่วยพยุงตลาดไม่ให้ปรับตัวลงแรง

ราคาหุ้น BANPU บวกเล็กน้อย โดยตลาดจับตาศาลฎีกาตัดสิน

คดีโรงไฟฟ้าหงสาวันที่ 6 มี.ค.นี้ โดยคดีโรงไฟฟ้าโครงการหงสา เป็นประเด็นที่กดดันราคาหุ้น BANPU มาตลอดในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา จากราคาสูงสุด 65 บาท เพราะมูลค่าที่ถูกฟ้องร้องสูงมาก

โดยปี 50 กลุ่มงานทวีเป็นโจทก์ฟ้อง BANPU กับพวก ระบุว่า BANPU หลอกลวงให้เข้าร่วมทำสัญญาร่วมทุน เพื่อต้องการได้ข้อมูลสัมปทานเหมืองถ่านหิน และรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ ที่เมืองหงสา สปป.ลาว และเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลลาวยกเลิกสัมปทานของกลุ่มงานทวี เพื่อที่ BANPU จะได้เข้าทำสัญญากับรัฐบาลลาวเอง เรียกร้องค่าเสียหายทั้งสิ้น 63,500 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย

คดีนี้ศาลชั้นต้น ศาลแพ่ง ได้ตัดสินเมื่อวันที่ 20 ก.ย.55 ว่า BANPU ไม่ได้ผิดสัญญาร่วมพัฒนาโครงการหงสา แต่กระทำละเมิดด้วยการนำเอาข้อมูลโครงการหงสาของโจทก์ (สำหรับการพัฒนาโรงไฟฟ้าขนาด 600 เมกะวัตต์) ไปใช้ในการพัฒนาโครงการหงสาสำหรับโรงไฟฟ้า 1,800 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน โดยให้ BANPU คืนเอกสารบางส่วนให้กลุ่มนายศิวะ พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย 31,740 ล้านบาท

ต่อมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 ก.ย.57 ตัดสินยกฟ้อง BANPU กับพวก และไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กลุ่มงานทวี

ขณะที่ผู้บริหารของ BANPU ยืนยันและเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานของกลุ่มกิจการในโครงการหงสาไม่มีการกระทำใดเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต หรือการกระทำที่ไม่ถูกต้อง!!