April 20, 2024   1:22:32 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เลือกหุ้นอย่างไร ให้สลัดหลุดกรอบแคบ SET Index
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 15/08/2017 @ 08:38:57
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แรงกดดันจากสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ฉุดบรรยากาศการลงทุนในภูมิภาค แม้แต่ตลาดหุ้นไทยที่พยายามหาทางไปต่อก็ถูกซ้ำเติมจากแรงขาย บีบดัชนีฯ​ ที่บวกขึ้นมาไม่ถึง 20 จุดจากสิ้นปีที่แล้ว

ดัชนี SET เมื่อวันศุกร์ก่อนวันหยุดยาว (11 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 1,561.31 จุด ขยับขึ้นเพียง 18.37 จุด จากระดับเมื่อตอนสิ้นปี 2559 ที่ 1542.94 จุด หรือบวกขึ้นมาเพียง 1.19% เท่านั้น แต่แม้ถึงไม่มีประเด็นคาบสมุทรเกาหลีเข้ามารบกวน ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในมุมมองของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเอง ก็ยังไม่เห็นปัจจัยที่ขับเคลื่อน SET Index เป็นขาขึ้นชัดเจน

ความเห็นของผู้จัดการกองทุนจาก บลจ.ธนชาต มองหุ้นไทยยังคาดหวัง Upside ได้ค่อนข้างจํากัด เพราะขาดปัจจัยขับเคลื่อน ในขณะที่ Valuations ก็ยังไม่น่าจูงใจมากนัก โดยค่ายธนชาต คาดการณ์ว่า SET Index ในช่วงที่เหลือของปี จะแกว่งตัวในช่วง 1,520-1,600 จุด

ภาพในลักษณะนี้ ทำให้การเลือกหุ้นรายกลุ่ม และหุ้นรายตัว ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ที่ค่ายธนชาตมองว่าน่าสนใจมากกว่าการซื้อหุ้นขนาดใหญ่ตามดัชนีฯ โดยหุ้นกลุ่มที่ธนชาตให้น้ำหนัก ก็คือกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มท่องเที่ยว รวมไปถึงหุ้นรายตัวที่มี "Growth Story"

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำหรับลงทุนสินทรัพย์ในไทย คือ ต้องเน้นรักษาเงินต้นให้มากขึ้น ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำสมอ ผันผวนตํ่า เช่น หุ้นปันผล หรือกองทุนทางเลือกในกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5% ซึ่งจูงใจกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ

กองทุนค่ายธนชาตให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน PF & REIT ให้อัตราเงินปันผลเฉลี่ยที่ 6.14% ขณะที่พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ให้ Yield ที่ 2.36% คิดเป็น Spread ที่ 3.78% มากกว่าค่าเฉลี่ยของ Spread ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 0.96%

ในขณะที่มุมมองจากคุณวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มองว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่มาดึงดูดการลงทุน นอกจากนี้ กำไรโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเอง ก็ยังเติบโตได้ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยคาดว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) โดยรวมของตลาดในปีนี้จะโต 4% เท่านั้น

และแม้บรรยากาศของตลาดในช่วงนี้ จะเป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการ แต่ก็พบว่าราคาหุ้นได้ตอบสนองข่าวไปบ้างแล้วระดับหนึ่ง สะท้อนจากหุ้นบางกลุ่มที่ตลาดมองว่าผลประกอบการจะไม่ค่อยดี เช่น กลุ่มค้าปลีก ราคาหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวลงอีก แต่อย่างไรก็ตาม การมองหาหุ้นรายตัวที่ยังเติบโตได้ดี ยังเป็นโอกาสสำหรับผู้ลงทุนในภาวะแบบนี้ เพราะถึงแม้เศรษฐกิจโดยรวม จะยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ก็มีบางบริษัท ที่ยังทำกำไรได้ดี อย่างเช่น กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น

หรืออย่างหุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์ และกลุ่มพลังงานทางเลือก ก็เป็นอีก 2 กลุ่มที่มองว่ายังเติบโตได้ดีในระยะยาว โดยที่ไม่อิงกับเศรษฐกิจไม่มากนัก

ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มบริโภค เป็นกลุ่มที่ผู้ลงทุนต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศประกอบด้วย ซึ่งหากมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จนถึงปีหน้า ก็จะทำให้หุ้นใน 3 กลุ่มนี้ มีโอกาสฟื้นตัวตามไปด้วย
เครดิต www.moneychanel.co.th

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com