April 20, 2024   8:22:35 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ขายหนักbeauty เป็นเพราะใครที่เปลี่ยนใจ
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 26/04/2017 @ 08:37:34
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ดัชนี SET (อังคาร 25 เม.ย.) ร่วงแตะ Low ของวันที่ระดับ 1,553 จุด เป็นจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ก่อนปิดตลาดได้เหนือ 1,560 ตลาดยังคงผันผวนตามแรงขายที่กระจายตัวในหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ในเวลาเดียวกับการทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาสแรก โดยนักลงทุนต่างชาติทั้งวันเป็นยอดซื้อสุทธิเข้ามากว่า 1.1 พันล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนสถาบันที่ขายสุทธิกว่า 1.2 พันล้าน ขณะหุ้นที่ถูกขายและฉุดดัชนีตลาด นำโดย BANPU, INTUCH และ SCC


หุ้น “บิวตี้ คอมมูนิตี้” (BEAUTY) เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่เผชิญแรงขายหนาแน่น ฉุดราคาหุ้นร่วงราว 6% มาปิดที่ 9.30 บาท โดยระหว่างวันทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 9.05 บาท ด้วยปริมาณซื้อขายทั้งวันหนาแน่นติด Top10 Most Active Value

แรงขายหนักมาในวันเดียวกับที่บริษัทฯ จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วาระหลักคือการอนุมัติการจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.138 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 เม.ย. นี้ และกำหนดจ่ายวันที่ 19 พ.ค.

ในระหว่างวันยังพบรายการซื้อขายบิ๊กล็อตจำนวน 1 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ย 9.10 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดในกระดานที่ 9.30 บาท

Money Channel ต่อสายถึงคุณสุวิน ไกรภูเบศ ซีอีโอ BEAUTY เขาบอกว่าไม่ทราบสาเหตุถึงกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรง รวมถึงรายการซื้อขายแบบบิ๊กล็อตในราคา 9.10 บาทจำนวน 1 ล้านหุ้นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด พร้อมแจงปัจจุบันตนและครอบครัวยังคงสัดส่วนการถือครองหุ้นใหญ่รวมกันแล้ว 28% และยังไม่มีแนวทางขายหุ้นบิ๊กล็อตให้กับนักลงทุนสถาบันไปเหมือนกับก่อนหน้านี้

ซีอีโอ BEAUTY บอกว่า สำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันอังคารที่ 25 เม.ย.นั้น ก็เป็นไปตามปกติ ไม่ได้เกิดปัญหาแต่อย่างใด พร้อมกับยืนยันถึงผลการดำเนินงานปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมาย โดยตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 3.1 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2559 ที่มีรายได้ 2.55 พันล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)ไม่ต่ำกว่า 20% แม้ว่าการแข่งขันจะสูงก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในเดือน พ.ค.นี้ บริษัทฯ เตรียมประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/60 ซึ่งระบุว่ายังเติบโตในระดับที่น่าพอใจทั้งในแง่ยอดขายจากสาขาเดิม หรือการเติบโตที่มากกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม

ล่าสุด (วันที่ 25 เม.ย.) บริษัทฯ เพิ่งจะเปิด “BEAUTY BUFFET” สาขาแรกในประเทศฟิลิปปินส์ และทั้งปีวางแผนเปิดเพิ่มเป็น 8 สาขา เพื่อรองรับการเติบโตตลาดต่างประเทศในอนาคต

เรามาลองสำรวจความเห็นโบรกเกอร์ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ "ดีบีเอส วิคเคอร์ส" (ให้ราคาพื้นฐาน BEAUTY ที่ 14 บาท) มองเชิงบวกในแง่การลงทุน คาดการณ์อัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSSG)ในไตรมาส 1/60 กลับมาดีอีกครั้งเป็น 12-14% หลังจากไตรมาส 4/59 เป็นช่วงไว้อาลัยทำให้การเติบโตเหลือเพียง 9.2% ขณะกำไรหลักคาดว่าจะเติบโตถึง 30% Y/Y ด้วยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและอัตรากำไร EBIT ที่กว้างขึ้น โดยเบื้องต้นคาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 32% และเติบโต 28% ในปี 2561

ด้าน “ฟิลลิป” (ประเมินราคาพื้นฐาน 14 บาท) คาดว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ยอดขายภายในประเทศจากสาขาของ Beauty Buffet, Beauty Cottage และ Beauty Market ยังคงมีการเติบโตที่ต่อเนื่อง โดยจะยังคงเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตโดดเด่น มีสัดส่วนที่สำคัญมากกว่า 60-70% ของยอดขายทั้งหมด และคาดว่าจะมี SSSG เป็นบวกได้ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ขณะที่ยอดขายจากต่างประเทศจะเริ่มสร้างฐานที่แข็งแกร่งจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงการขยายสาขาในต่างประเทศที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีกลุ่มธุรกิจ E-commerce ที่น่าจะสามารถพึ่งพาได้มากขึ้น

นักวิเคราะห์ฟิลลิปคาดกำไรสุทธิปี 2560-62 จะเติบโตเฉลี่ย 26.1% ต่อปี

ส่งท้ายด้วยโบรกเกอร์ “เออีซี” (ให้ราคาเป้าหมายที่ 13.20 บาท) ที่มองบวกต่อการเติบโตในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในไทย ที่ผู้บริโภคยังมีพฤติกรรมให้ความสำคัญกับการดูแลผิวพรรณและบุคลิกภาพ ส่วนยอดขายต่างประเทศ คาดว่ายังเติบโตได้ดี ทั้งรูปแบบการแต่งตั้ง Distributor อย่างเป็นทางการ และการขายแบบ Wholesalers หลังผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเอเชีย

นักวิเคราะห์เออีซีมอง BEAUTY ยังมีแผนขยายสาขาและช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ๆ เพื่อผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

BEAUTY มีแผนการขยายสาขาต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ในไทยมีแผนเปิด BEAUTY BUFFET 30 สาขา, BEAUTY COTTAGE 15 สาขา และ BEAUTY MARKET 5 สาขา ทำให้สิ้นปีสาขาเพิ่มเป็น 382 สาขา ส่วนต่างประเทศ มีแผนเปิดรูปแบบ Independent Shop 14 สาขา (ปัจจุบันมี 40 สาขา) กระจายในแถบ CLMV อาทิ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม รวมถึงฟิลิปปินส์ และรูปแบบ Shop in Shop 10 สาขา (ปัจจุบันมี 138 สาขา) กระจายอยู่ในฮ่องกง ไต้หวัน และอินโดนีเซีย รวมทั้งมีแผนเพิ่มช่องทางจัดจาหน่ายสินค้าใหม่ๆ เช่น Modern trade, E-Commerce และช่องทางออนไลน์อื่นๆ

งบลงทุนปีนี้ตั้งไว้ราว 160 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนขยายสาขา 110 ล้านบาท และสำหรับใช้ลงทุนระบบซอฟ์แวร์และปรับปรุงอาคารสำนักงาน 50 ล้านบาท

*********************************
ทีม Business&Finance, Money

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com