April 24, 2024   2:20:51 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ARROW ยันปี 60 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 10-15% ส่วนอัตรากำไรสุทธิคาดอยู่ที่ 18-22%
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 06/03/2017 @ 09:03:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยว่า ในปี 2560 บริษัทมั่นใจจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% หรือ 1,600 ล้านบาท จากปี 2559 ที่มีรายได้1,365.55 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 18-22% จากปีที่ผ่านมามีอัตรากำไรสุทธิ 19% หรือ 266 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมีงานในมือ หรือ backlog ที่ 250-300 ล้านบาทและคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ มีรายละเอียดดังนี้

   - ในปี 2560 บริษัทมั่นใจจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% หรือ 1,600 ล้านบาท จากปี 2559 ที่มีรายได้1,365.55 ล้านบาท โดยจะมาจากรายได้ในส่วนของท่อร้อยสายไฟ 80% และรายได้จากธุรกิจรับเหมาประมาณ 20%
   - อัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 18-22% จากปีที่ผ่านมามีอัตรากำไรสุทธิ 19% หรือ 266 ล้านบาท
   - ปัจจุบันมีงานในมือ หรือ backlog ที่ 250-300 ล้านบาทและคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้ สำหรับปัจจุบันบริษัทมีกำไรสะสม 503 ล้านบาท และเมื่อรวมการกันสำรองจะมีกำไรสะสมประมาณ 528 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้
   "บริษัทจะไม่มีงานในมือในสต๊อกมาก อยากให้เป็นแบบซื้อมาขายไปมากกว่า ขณะเดียวกันยังพบว่า ที่ผ่านมา จะไม่มีการขายของให้กับผู้ประกอบการล่วงหน้า โดยจะเป็นการแนะนำให้ซื้อ ณ ราคาวันที่จะมีการก่อสร้าง เพราะหากให้โค้ดราคาขายก่อนล่วงหน้า จะโค้ดราคาสูงมาก ซึ่งราคาเหล็กเป็นต้นทุนของการก่อสร้าง 60-70% ทั่งนี้ในส่วนของราคาเหล็กนั้นในปีนี้ พบว่า ราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จากราคาน้ำมันและถ่านหินที่เริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาเหล็กปรับขึ้นมาแล้ว 20-30% แต่ในส่วนของบริษัทขึ้นมา 15% โดยปัจจุบันราคาเหล็กในท้องตลาดขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 30 กว่าบาท จากปีที่ผ่านมา 25-27 บาท"นายธานินทร์ กล่าว
   - ปัจจุบันมีกองทุนหลายกองที่สนใจจะเข้ามาลงทุนกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ส่วนการลงทุนในบริษัท เมฆา-เอส ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ประมาณ 60% ซึ่งในปีนี้ยืนยันว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเมฆา-เอสอย่างแน่นอน และจะแยกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ด้วยแต่ยังไม่สามารถระบุได้ในตอนนี้
   - ความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตท่อร้อยสายไฟใต้ดิน หรือ RTRC และท่อเหล็กอ่อนกันน้ำแห่งที่ 2 บนพื้นที่ 7 ไร่ ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้แล้ว ซึ่งจะช่วยเสริมกำลังการผลิตในส่วนงานท่อร้อยสายไฟได้ 20% และท่อเหล็กอ่อนกันน้ำได้ 10% หรือคิดเป็นกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 20-25% เนื่องจากเครื่องจักรมาพร้อมกับประสิทธิภาพในการผลิตที่ทำความเร็วได้กว่า 30% ทำให้สามารถป้อนวัตถุดิบส่งให้กับโรงงานในเครือและรองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าได้อย่างเต็มที่ สำหรับการลงทุนในการซื้อเครื่องจักรเข้าโรงงานใหม่นั้น คาดว่าปีนี้จะใช้งบลงทุนในการซื้อเครื่องจักนทั้งสิ้น 20-30 ล้านบาท
   - แผนการลงทุนในต่างประเทศนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการออกไปตั้งโรงงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม เป็นต้น
   - ปีนี้ บริษัท คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนจากภาครัฐที่จะมีอย่างต่อเนื่อง และความต้องการใช้ท่อ RTRC ยังมีอยู่สูงในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ทั้งในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีส้ม และสีเหลือง งานนำสายไฟลงดินที่จะเร่งรัดเหลือ 5 ปี รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 นอกจากนี้ในปีนี้ บริษัทยังเริ่มรับรู้รายได้จากท่อร้อยสายไฟใต้ดินที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ ม.อ.ก. เป็นรายแรกของไทย
   - โครงการท่อร้อยสายไฟใต้ดิน บริษัท จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. ที่คณะรัฐมนตรี หรือ ครม. อนุมัติให้ดำเนินโครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ปี 2551-2556 (ฉบับปรับปรุง) วงเงิน 9,088.8 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1.โครงการปทุมวัน จิตรลดา ปทุมวัน เพิ่มเติม 2.โครงการพระราม 3 และ 3.โครงการนนทรี โดยบริษัทได้มีการเข้าไปเสนองานแล้ว และคาดหวังว่าจะได้โครงการ 2 โครงการแรก แต่ทั้งนี้จะต้องรอการอนุมัติและจะสามารถดำเนินโครงการได้ในทันที
   - นโยบายสนับสนุนการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ยืนยันว่า ไม่ได้คาดหวังมากนัก เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ และต้องใช้เวลาดำเนินการค่อนข้างนาน ดังนั้นตนจะคาดหวังในส่วนของการลงทุนหรือปูพื้นฐานตัวธุรกิจในกลุ่มปิโตรเคมีมากกว่า
   - ในปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้การขยายตัวของธุรกิจก่อสร้างภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งมีผลมาจากผู้บริโภคยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ราคาวัตถุดิบที่มีความผันผวนรวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตบ้าง


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com