EFORL มั่นใจปีนี้รายได้เข้าเป้า 4.2 พันลบ. อัตรากำไรสุทธิ 10% เผยงบ Q3/58 เตรียมบันทึกกำไรขายหุ้น "วุฒิศักดิ์" ราว 270 ลบ. พร้อมเล็งยื่นไฟลิ่งปลายปีนี้ หวังขายหุ้นได้ปีหน้า ระดมทุนเคลียร์หนี้ กด D/E จาก 5.18 เท่าเหลือ 0 เท่า ด้านแผนย้ายเข้าเทรด SET เลื่อนเป็นภายใน 2 ปี จากเดิมปีนี้ ระบุสภาพคล่องใน mai ยังดีอยู่ ฟากโบรกฯ มองราคามีอัพไซด์จากพื้นฐาน ชี้ครึ่งปีหลังธุรกิจเข้าไฮซีซั่น มองทั้งปีมีกำไร 425 ลบ. โตจากปีก่อนเกือบ 100% ประเมินราคาเหมาะสม 1.63 บาท

**ส่งซิกปี 58 กำไรโตเท่าตัว
นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่าผลการดำเนินงานปี 2558 มั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 4,200 ล้านบาท แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศจะไม่คึกคัก แต่ธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม โดยเฉพาะธุรกิจด้านการจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ถือเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้รับผลกระทบไม่มากนัก
ขณะที่จะเพิ่มอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับ 10% บวกลบ จากงวดครึ่งปีที่อยู่ 5.36% ส่งผลให้กำไรสุทธิของ EFORL ในปีนี้จะโตก้าวกระโดดจากปีก่อน
โดยในปี 2557 ที่ผ่านมา EFORL มีรายได้รวม 1,490.21 ล้านบาท กำไรสุทธิ 240.73 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 16.15%
"เรากำลังเร่งเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ ซึ่งปีนี้คงทำได้ 10% บวกลบ จากการเร่งชำระคืนหนี้ และเพิ่มสินค้าและบริการที่มีมาร์จิ้นสูงเข้าไป"

**งบ Q3/58 บันทึกขายหุ้น"วุฒิศักดิ์" 270 ลบ.
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/58 ระบุว่า จะดีกว่าไตรมาส 2 ที่ถือว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว โดยนอกเหนือจากกำไรจากธุรกิจปกติทั้งเครื่องมือแพทย์และธุรกิจความงามแล้ว ยังเตรียมบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยราว 270 ล้านบาท  
ทั้งนี้ไตรมาส 2/58 EFORL มีกำไรสุทธิ 20.20 ล้านบาท
ขณะที่ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติขายหุ้น WCIH จำนวน 9 ล้านหุ้น หรือ 9% ในราคาหุ้นละ 55 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 495 ล้านบาท จากนั้นจะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน WCIH เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ 50.99%

**เล็งยื่นไฟลิ่ง"วุฒิศักดิ์" ปลายปีนี้
แผนการนำวุฒิศักดิ์ (WCIH) เข้าระดมทุนใน SET ยังคงตามกำหนดการเดิมคือในปี 2559 โดยเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทในกลุ่ม EFORL เป็นบริษัทปลอดหนี้ หรือมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เป็น 0
ณ สิ้นไตรมาส 2/58 EFORL มี D/E อยู่ที่ 5.18 เท่า

**เลื่อนแผนการย้ายเข้า SET ออกไปเป็นภายใน 1-2 ปี
นายธีรวุทธิ์ กล่าวด้วยว่า ได้เลื่อนแผนการย้ายเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) จากปัจจุบันซื้อขายในกระดานตลาด mai ออกไปเป็นภายใน 1-2 ปี จากเดิมคาดว่าจะย้ายตลาดในปีนี้ เนื่องจากเห็นว่าสภาพคล่องการซื้อขายในตลาด mai ยังดีอยู่ และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจ

**นักวิเคราะห์ ประเมิน EFORL กำไรปีนี้ 425 ลบ.
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดหมายรายได้ EFORL ปีนี้อยู่ที่ 4 พันล้านบาทและ กำไรปี 58 อยู่ที่ 425.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.8% y-y การเติบโตของกำไรปี 58 จะมาจาก
1) การรวมงบ WCIG (ผ่าน WCIH ซึ่งถือ 60%) เต็มปี จากที่ในปี 57 รับรู้เข้ามาเพียง 1 เดือนเป็นหลัก
2) การปรับลดค่าใช้จ่าย Promotion/ Marketing Campaign
ขณะที่ในปี 59 จากการเข้าจดทะเบียนของ WCIG ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยหมดลงหลังคืนเงินกู้ รวมถึงการรุกธุรกิจของ Wuttisak Cosmetics และภาพที่ชัดเจนขึ้นของ Siam Snail นอกจากนี้การทำ M&A อาจสร้าง Inorganic Growth เข้ามาเพิ่มเติมได้
ด้านรายได้หลัก ด้านธุรกิจสุขภาพยังมีอัตราการเติบโตที่สูง จากงบประมาณใช้จ่ายต่อเนื่องจากภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการให้บริการทางการแพทย์ ขณะการลงทุนของโรงพยาบาลเอกชนก็มีต่อเนื่อง จาก Capacity โรงพยาบาลรัฐยังไม่เพียงพอ และมีความต้องการจากลูกค้าต่างประเทศ ทางฝ่ายคาดรายได้การขายเครื่องมือแพทย์ยังเติบโตได้ในระดับกว่า 30%/ปีไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ในส่วนของธุรกิจความงาม มีตลาดที่ใหญ่เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญ โดยธุรกิจความงามมีความสามารถขยายไปยังต่างประเทศได้ง่ายกว่าธุรกิจเครื่องมือแพทย์ จะเห็นได้จาก WCIG ซึ่งไม่มีแผนขยายสาขาในไทยเพิ่มเติม แต่จะเน้นเพิ่มสาขา "วุฒิศักดิ์" ในต่างประเทศจากปัจจุบันมี 12 แห่งใน CLMV โดยอยู่ระหว่างพิจารณาเปิดสาขาเพิ่มที่ อินโดนีเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ ในปี 59 ในส่วนของ Siam Snail นั้นก็มีแผนในระยะยาวที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์เช่นกัน
ด้าน บล.เคเคเทรด มองผลทิศทางกำไรสุทธิ 2H58 ของ EFORL ที่มีทิศทางดีกว่า โดยทั้งเป็น High season ของธุรกิจใน 4Q58 ขณะที่จะไม่มีงบโฆษณาที่สูงอีกแล้วขณะที่หวังจะเห็นผลตอบรับที่ดีจากการโฆษณาด้วย

**3 โบรกฯส่องกล้องราคาเหมาะสม
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาพื้นฐานปี 58 ที่ 1.63 บาท
บล.กรุงศรี แนะนำ `ซื้อ` ราคาเป้าหมาย 1.45 บาท
บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.32 บาท