March 29, 2024   3:37:15 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นหลังสงกรานต์ซบเซา-แนะขายทำกำไร
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 16/04/2015 @ 08:28:05
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

โบรกฯ ชี้ ชะตาหุ้นไทยหลังสงกรานต์ อยู่ที่ผลรายงาน จีดีพี Q1/58 ของจีน คาดวอลุ่ม ยังเบาบาง เหตุเปิดทำการเพียง 2 วัน ด้าน"เคทีซีมีโก้" แนะทยอยขายเน้นถือเงินสด สั่งจับตา ประชุมเฟด ฟาก"ฟินันเซีย" มองอาจมีการเก็งกำไรสลับ sell on fact หลังหุ้นแบงก์เริ่มประกาศงบ Q1/58 ขณะที่เอเซียพลัส ชี้ ปัจจัยการเมือง-ศก. กดดันเม็ดเงินต่างชาติอาจจะลดน้อยลง

* โบรกฯ ชี้ ชะตาหุ้นไทยหลังสงกรานต์ อยู่ที่ผลรายงาน จีดีพี Q1/58 ของจีน
นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ กล่าวว่าช่วงวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย(13-15 เม.ย.) จะมีปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) วันที่ 14 เม.ย.จะมีการประชุมธนาคารกลางสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่า จะมีการออกมาตรการผ่อนคลายการเงินอีกครั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาด 2)วันที่ 15 เม.ย.จีนจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ใน Q1/15 โดยคาดว่าอยู่ที่ +7.0% ซึ่งเติบโตต่ำสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ผลที่มีต่อตลาดฯให้น้ำหนักไปที่กรณีหากต่ำกว่าคาด จะเป็นปัจจัยลบระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายตลาดฯจะหันมาเก็งในเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มของรัฐบาลจีน และ 3)วันที่ 15 เม.ย. การประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB)
"ทั้งนี้มองว่า SET INDEX หลังเปิดทำการ(16-17 เม.ย.) จะมีตัวเลข GDP ของจีนเป็นตัวแปร หากต่ำกว่าคาดจะเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น โดยมองแนวรับไว้ที่ 1,530 จุด แต่สุดท้ายเชื่อว่า SET INDEX จะฟื้นตัวได้" นายเอกภาวิน

* คาดวอลุ่ม ยังเบาบาง เหตุเปิดทำการเพียง 2 วัน
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังสงกรานต์ มองว่า ตลาดฯจะมีมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลง เนื่องจากเป็นวันทำการเพียง 2 วันทำการ นักลงทุนบางส่วนอาจจะถือโอกาสหยุดยาว ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประกาศผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมองว่าไม่น่าจะช่วยหนุน SET INDEX ได้มากเท่าไหร่ ทั้งนี้ช่วงวันหยุดยาว (13-15 เม.ย.)จีนจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ใน Q1/15 หากออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ คาดว่าจะเป็นผลบวกต่อการคาดการณ์ว่าจีนจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
"แต่อย่างไรก็ตามเรามอง อัพไซต์ของตลาดฯค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเราให้น้ำหนักเกี่ยวกับปัจจัยภายในประเทศมากกว่า ทั้งเรื่องการเมือง และโปรเจ็กต์ต่างๆ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากทางภาครัฐ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้" นางสาวธีรดากล่าว
กลยุทธ์การลงทุน สำหรับการเก็งกำไรอาจจะเป็นไปได้ยากเนื่องจากตลาดฯไร้ปัจจัยใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนการลงทุน ขณะที่นักลงทุนที่เทรดดิ้งระยะสั้นก็ต้องระมันระวังเช่นเดียวกัน จึงแนะนำให้ รอซื้อจังหวะอ่อนตัว เลือกกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการในไตรมาสที่1/58 จะออกมาดี อย่างกลุ่มโรงกลั่น โรงพยาบาล สายการบินและโรงแรม พร้อมประเมินแนวรับที่ 1,520-1,510 จุดและแนวต้านที่ 1,560-1,570 จุด

* "เคทีซีมีโก้" แนะทยอยขายเน้นถือเงินสด สั่งจับตา ประชุมเฟด
บทวิเคราะห์ เคทีซีมีโก้ ระบุว่า ประเด็นที่ต้องจับตาหลังเทศกาลสงกรานต์ จะอยู่ที่สหรัฐเป็นหลัก ทั้งการประชุมเฟด การประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรก และการประกาศผลประกอบการบจ. ด้านยุโรปจับตาการเจรจาหนี้กรีซ ขณะปัจจัยในประเทศจับตาการถกร่างรัฐธรรมนูญ
ปัจจัยที่ต้องจับตา 2 สัปดาห์นี้ ได้แก่ 1) รายงานผลกำไรบจ. โดยสหรัฐฯ สัปดาห์หน้า (JP Morgan WellsFargo INTEL J&J BofA YAHOO GS AMEX ฯลฯ) ส่วนกลุ่มแบงก์ไทย คาดจะเริ่มประกาศปลายเดือน มี.ค.2) รายงานเศรษฐกิจโลก ECB Meeting 16 เม.ย. 3) XD Effect 1.61 จุด (BBL -SCCC- MINT- BIGC)
กลยุทธ์ลงทุน : ทยอยขาย/ถือเงินสด และรอซื้อเก็งกำไรบริเวณแนวรับ 1500 จุดสำหรับนักเก็งกำไร และ1478/1459 จุดสำหรับนักลงทุนรายเดือน ส่วนหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการซื้อเล่นเก็งกำไร ที่แนวรับ ได้แก่ 1.หุ้นที่มีการปรับ Target Price สูงสุด ได้แก่ SAMTEL- MEGA -TPIPL -GUNKUL-LOXLEY 2.หุ้น Non-SET 100 Index ที่น่าสนใจ ได้แก่ BA- MTLS- CKP- SEAFCO-

* "ฟินันเซีย" มองอาจมีการเก็งกำไรสลับ sell on fact หลังหุ้นแบงก์เริ่มประกาศงบQ1/58
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า หลังสงกรานต์เป็นช่วงประกาศผลประกอบการ 1Q15 ตลาดมีการเก็งกำไรสลับ sell on fact กลุ่มแบงก์จะเริ่มประกาศงบฯเป็นกลุ่มแรกตั้งแต่ 17 เม.ย. โดย 1Q15 ไม่ใช่ไตรมาสที่ดีนักแต่ราคาหุ้นสะท้อนไปบางส่วนแล้ว ระยะสั้นแนะนำ TMB และ KBANK ที่คาดกำไรจะดีสุด ช่วงปลายเดือนเป็นกลุ่มพลังงานซึ่งกำไรที่เติบโต Q-Q เป็นเพราะไม่มี stock loss แต่น่าจะลดลง Y-Y ส่วนกลุ่มค้าปลีก เกษตร รับเหมา วัสดุก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย และมีเดีย มีกำไรไม่ดีนัก มีเพียงกลุ่มไฟแนนซ์ (MTLS, GL) และไอซีที (ADVANC, INTUCH, THCOM) ที่กำไรน่าจะออกมาดี

*เอเซียพลัส ชี้ ปัจจัยการเมือง-ศก. กดดันเม็ดเงินต่างชาติอาจจะลดน้อยลง
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ในสภาวะตลาดปัจจุบัน เชื่อว่าปัจจัยที่ยังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย น่าจะมาจากปัจจัยการเมือง และเศรษฐกิจในประเทศ เป็นสำคัญ ประเด็นทางการเมือง ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามกรอบเวลาต้องให้แล้วเสร็จภายใน 17 เม.ย. 2558 และเมื่อขั้นตอนนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 คือ การส่งร่างรัฐธรรมนูญ ให้กับ 3 องค์กร คือ สปช คณะรัฐมนตรี และ คสช เพื่อพิจารณา แก้ไข/ปรับปรุง ในการนำเสนอต่อ คณะกรรมการร่างฯ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้แล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 คือ ส่งร่างฯให้ สปช. ลงมติ เห็นชอบ ซึ่งตามกรอบเวลา น่าจะเสร็จสิ้น 6 ส.ค. และหาก สปช. เห็นชอบ ก็จะเป็นขั้นตอนในการนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าถวาย ฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในกรอบเวลา 4 ก.ย. 2558 แต่หากสะดุด โดย สปช. ไม่เห็นชอบก็เป็นความเสี่ยงที่ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ การเลือกตั้งก็จะไม่เกิดขึ้นแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ ...แรงต่อต้าน/คลื่นใต้น้ำ เป็นต้น. มาวันนี้ถือว่าการร่างรัฐธรรมนูญใกล้เสร็จสิ้นในขั้นตอนแรก คงต้องไปรอลุ้นเอาหลังสงกรานต์ว่าจะสามารถผลักดันให้ผ่านเข้าขั้นตอนที่ 2 ตามกรอบเวลาที่กล่าวข้างต้นหรือ แต่อย่างไรก็ตาม มาถึงจุดนี้ถือว่ามีหลายประเด็นที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่มา สว., นายกรัฐมนตรี และระบบเลือกตั้ง เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สามารถกลับเข้ามากดดันตลาดได้ตลอดเวลา
และเช่นเดียวกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมือง ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะมิใช่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค และนักลงทุนเท่านั้น แต่ล่าสุดพบว่าผลกระทบจากภายนอกยังคงซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย โดยล่าสุด พบว่า ยอดการส่งออกงวด 2 เดือน แรกของปีนี้ ตกต่ำกว่าคาดมาก โดยลดลง 4.8% จาก ม.ค.-ก.พ. 2557 ขณะที่วานนี้ทาง มรว.ปรีดิยาธร ฯ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ยอมรับว่ายอดส่งออกงวด 1Q58 น่าจะติดลบ 4% yoy ซึ่งทำให้ยอดส่งออกในประเทศน่าจะต่ำกว่าเป้าหมาย และทางด้าน ธปท. ยังประเมินว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ยอดส่งออกในปี 2558 อาจจะติดลบติดต่อกันเป็นปีที่ 3ภายใต้ภาวะตลาดส่งออกหลักยังฟื้นตัวล่าช้า ได้แก่ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน แม้ปัญหา การส่งออกที่หดตัว จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านเช่น มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งมีตลาดส่งออกกลุ่มเดียวกับสินค้าไทย แต่อย่างไรก็ตามไทยอาจจะแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่ยังเผชิญกับปัญหาการเมือง และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างล่าช้า สะท้อนจากการบริโภค การลงทุนทั้งภาครัฐ และเอกชนยังฟื้นตัวล่าสุด และหากอิงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักได้ประเมินไว้ล่าสุดปี 2558 ไทยจะเติบโตเฉลี่ยที่ 3.5% ในปี 2558 (ดีขึ้นจาก 0.7% ในปี 2557) และคาดว่ามีแนวโน้มจะถูกปรับลดลงเหลือต่ำกว่า 3% ได้ ซึ่งถือว่าเป็นระดับ ที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านทุกแห่งไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย คาดว่าจะเติบโต 5.2% (ชะลอตัวจาก 5.9% ในปี 2557) ฟิลิปปินส์ 6.3% (ทรงตัวจาก 6.2% ในปี 2557) อินโดนีเซีย 5.5% (ทรงตัวจาก 5.2% ในปี 2557) และ จีน 6.8% (ชะลอตัวจาก 6.8% ในปี 2557) เป็นต้น ทำให้ความน่าสนใจต่อการดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศอาจจะลดน้อยลง


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com