March 29, 2024   2:41:41 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > AIRAเทกโอเวอร์"ซุปเปอร์ริชฯ"
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 19/03/2015 @ 08:24:54
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

"ไอร่า แคปปิตอล" ทุ่มงบไม่เกิน 2 พันล้านบาท ประกาศซื้อกิจการ "ซุปเปอร์ริช อินเตอร์เนชั่นเนล เอ็กซ์เชนจ์ (1965)" ถือหุ้นเกิน 50% รุกธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ คาดดีลจบภายใน 1-2 เดือนนี้ ตั้งเป้าดันเข้าตลาด mai ปีหน้า หวังสร้างผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายรับ AEC พร้อมก้าวเป็นผู้ประกอบการ Non-bank ติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ ส่งซิกครึ่งหลังปีนี้สรุปดีลซื้อกิจการอีก 1 แห่ง มูลค่า 2 พันล้านบาท เตรียมยื่นขอไลเซ่นส์ธุรกิจสินเชื่อ-นาโนไฟแนนซ์ เดือนเม.ย.นี้

*** ทุ่ม 2 พันลบ.ซื้อ "ซุปเปอร์ริชฯ" ดันเข้า mai ปีหน้า
นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA ผู้ดำเนินธุรกิจการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท ซุปเปอร์ริช อินเตอร์เนชั่นเนล เอ็กซ์เชนจ์ (1965) จำกัด ซึ่งถือเป็นผู้นำด้านธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศไทย โดยบริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบและวิเคราะห์สถานะกิจการ(Due Diligence)เพื่อเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่า 50%ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ AIRA มีผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ คาดว่าการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ซุปเปอร์ริชฯ จะแล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือนนี้ มูลค่าการลงทุนไม่เกิน 2,000 ล้านบาท โดยมีนโยบายเข้าถือหุ้นใหญ่มากกว่า 50% หลังจากนั้นจะมีการปรับโครงสร้างบริษัท ซุปเปอร์ริชฯ เพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปี 2559 โดยปัจจุบัน บริษัท ซุปเปอร์ริชฯ มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ซึ่งจะมีการปรับโครงสร้างของบริษัท ก่อนเพิ่มทุนเพื่อขายให้กับ AIRA แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำ Due Diligence ยังไม่สามาถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมูลค่าการลงทุนที่ชัดเจนได้
สำหรับจุดเด่นของบริษัท ซุปเปอร์ริชฯ คือ การให้บริการที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับธนาคารพาณิชย์ บุคลากรมีความซื่อสัตย์และมีความชำนาญในด้านธนบัตรต่างประเทศ อีกทั้งบริษัทยังมีศักยภาพในการจัดหาปริมาณเงินตราต่างประเทศให้เพียงพอสำหรับการให้บริการลูกค้า รวมทั้งมีบริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศมากถึง 32 สกุลเงิน และบริษัทยังให้มูลค่าอัตราแลกเปลี่ยนทั้งการซื้อและขายในอัตราที่ดีกว่า ภายใต้มาตรฐานการบริการที่สะดวก รวดเร็ว ทำให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่า มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ขององค์กร

*** ตั้งเป้าขึ้น Top 5 ธุรกิจนอนแบงก์
นางนลินี กล่าวว่า การร่วมทุนกับซุปเปอร์ริชฯในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ คือการขยายผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น และถือว่าเป็นหนึ่งในแผนธุรกิจที่จะผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ Non-bank ติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ ซึ่งบริษัทซุปเปอร์ริชเองถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพและเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการด้านแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมากว่า 40 ปี
ด้านนายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานกรรมการบริษัท ซุปเปอร์ริชฯ กล่าวว่า ความร่วมมือกับบริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้กับซุปเปอร์ริช เพราะ AIRA ถือเป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจการเงินในประเทศไทย รวมถึงมีเครือข่ายทางธุรกิจและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ??
“ไอร่าจะเข้ามาเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของซุปเปอร์ริช เราคาดว่าเมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างสมบูรณ์ บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะเป็นธุรกิจที่มีอนาคตและมีอัตราการเติบโตสูงมากเราจึงจำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง”นายปิยะ กล่าว
อนึ่ง บริษัท ซุปเปอร์ริช อินเตอร์เนชั่นเนล เอ็กซ์เชนจ์ (1965) จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ 2508 ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อันดับต้นๆ ของประเทศไทย มีบริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศมากถึง 32 สกุลเงิน ด้วยบริการที่มีมาตรฐานสูง เป็นที่ยอมรับของธนาคารแห่งประเทศไทย

*** ครึ่งปีหลังปิดดีลซื้อกิจการอีก 1 แห่ง มูลค่า 2 พันลบ.
นางนลินี กล่าวต่อว่า สำหรับแผนธุรกิจของ AIRA ในปีนี้จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงิน และที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงิน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากรายได้จากธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งนอกจากบริษัท ซุปเปอร์ริชฯแล้ว บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงินอีก 1 แห่ง มูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านบาท โดยขณะนี้มีความคืบหน้า 40-50% แล้วคาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าหมายเพิ่มบริษัทย่อยเป็น 12 บริษัทภายในปี 2560 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 6 บริษัท
"ด้วยความที่เราเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ ที่ประกอบธุรกิจการเงินเราจึงมีความต้องการที่อยากให้ไลน์ธุรกิจในเครือครอบคลุมให้ครบวงจรมากที่สุด ปัจจุบันมีอยู่ 6 บริษัท ปีนี้จะซื้ออีก 2 ปีหน้าอีก 2 บริษัท และปีถัดไป อีก 2 บริษัท ทำให้ในปี 60 เราจะมีบริษัทย่อยครบ 12 แห่งตามเป้าหมาย"นางนลินี กล่าว
ส่วนที่มาของเงินลงทุนที่จะใช้ซื้อกิจการในปีนี้ จะมาจากกระแสเงินหมุนเวียนบริษัทฯ และเงินกู้เป็นหลัก เนื่องจากปัจจุบันมี D/E เพียง 0.2 เท่า โดยถือว่าเพียงพอกับการลงทุนในบริษัท 2 แห่งที่อยู่ในแผนปีนี้ ส่วนเรื่องการเพิ่มทุนคงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่อาจจะพิจารณาใช้ในอนาคต หากมีโครงการเข้าลงทุนขนาดใหญ่

*** เตรียมยื่นขอไลเซ่นส์ธุรกิจสินเชื่อ-นาโนไฟแนนซ์ เดือนเม.ย.นี้
นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมยื่นขอใบอนุญาตการทำธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภค (Consumer Finance) และใบอนุญาตเพื่อทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงกลางเดือน เม.ย. นี้ หลังจากนั้นคาดว่า ธปท.จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการพิจารณาอนุมัติ จึงคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจดังกล่าวได้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมของระบบการให้บริการทั้งในด้านจำนวนพนักงาน สาขา และระบบไอที

*** ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 15-20% เน้นกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง
นางนลินี กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้-กำไรปีนี้เติบโต 15-20% จากปีก่อน โดยจะมาจากการเติบโตในทุกธุรกิจในกลุ่มไอร่า โดยบริษัทฯ จะปรับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยสิ้นปีนี้ 50% จะมาจากธุรกิจโบรกเกอร์ 40% จะมาจากธุรกิจการโอน และรับโอนสิทธิเรียกร้องภายในประเทศ (แฟคตอริ่ง) 10% จะมาจากธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจแบบครบวงจรในประเทศสิงโปร์ และธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล
"ปีนี้ธุรกิจโบรกเกอร์คงเติบโตกว่าปีก่อน เพราะวอลุ่มกลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว ส่วนธุรกิจแฟคตอริ่งก็จะเดินหน้าต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปีนี้ 2.3 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท ด้านธุรกิจ IB ที่สิงคโปร์ ซึ่งรับทำดีล M&A ระหว่างประเทศ ปีนี้เรามีงานในมือ 6 ดีล จากปีก่อนเพียง 2 ดีล คาดว่าจะสำเร็จอย่างน้อย 2-3 ดีล โดยมีรายได้เฉลี่ยดีลละ 20-30 ล้านบาทนอกจากนี้ กลางปีจะเริ่มเดินหน้าธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มรายได้อีกพอสมควร" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIRA กล่าว



 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com