April 19, 2024   1:12:56 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลท.ลุยเพิ่มนักลงทุนเท่าตัว
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 05/03/2015 @ 08:26:32
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าเพิ่มนักลงทุนหน้าใหม่เป็น 1.5 ล้านรายภายในปี 63 จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.7 แสนราย ดันมาร์เก็ตแคปทะลุ 20 ล้านล้านบาท พร้อมวางแผนเพิ่มสัดส่วนการเทรดออนไลน์แตะระดับ 50% ของวอลุ่มรวมในปี 59 จากปัจจุบันอยู่ที่ 43% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้คาดอยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท ด้านดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังแดงฉาน ให้แนวรับ 1,540-1,560 จุด จับตา กนง. ปรับลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อการลงทุน

**ตั้งเป้าเพิ่มนักลงทุนหน้าใหม่เป็น 1.5 ล้านรายภายในปี 63
ดร.สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท. ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่เป็น 1.5 ล้านรายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 7.71 แสนราย โดยจะมีการขยายฐานในเชิงรุกทั้งช่องทางเดิม และได้มีการเตรียมช่องทางใหม่ เช่น การร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์เพื่อเจาะฐานนักลงทุนในจังหวัดหัวเมืองรอง ซึ่งจะเป็นลักษณะการเข้าหานักลงทุนแบบตัวต่อตัว โดยในปีนี้จะร่วมกับ 16 บริษัทหลักทรัพย์เพื่อเดินสายให้ข้อมูลนักลงทุน 26 จังหวัดทั่วประเทศ
พร้อมกันนี้จะมีการร่วมมือกับองค์กรเอกชนและองค์กรรัฐวิสาหกิจ อาทิ ไปรษณีย์ไทย บริษัทประกันต่างๆ รวมถึงกลุ่มบริษัท เซ็นทรัล เพื่อพัฒนาธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน และการให้บริการเปิดบัญชีหลักทรัพย์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางต่างๆ รวมถึงขอใบอนุญาตเพื่อติดต่อกับนักลงทุนให้กับหน่วยงานดังกล่าว คาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนกลางปีนี้
ขณะที่กิจกรรมปกติของ ตลท. ก็จะมีการจัดงาน Money Expo 7 ครั้ง ภายใต้แนวคิด เชื่อมโอกาสการลงทุน สู่ความมั่งคั่งด้วยหุ้น อนุพันธ์ ทอง และกองทุนรวม รวมถึงจะมีการจัดโครงการ Your First Stock ซึ่งจะร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ 16 แห่ง สร้างผู้ลงทุนมือใหม่ให้รู้จักวางแผนการลงทุนและเลือกหุ้นตัวแรก ซึ่งจะมีการจัดสัมมนาความรู้ รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ แก่นักลงทุน
นอกจากนี้จะมีการสานต่อ โครงการ Banker To Broker ซึ่งเป็นโครงการที่เพิ่มฐานนักลงทุนได้เกือบ 60,000 รายในปีที่ผ่านมา ซึ่งตลท. คาดหวังว่ากิจกรรมดังกล่าวทั้งหมดจะช่วยเพิ่มนักลงทุนหน้าใหม่ได้ประมาณ 40,000 รายในปีนี้ โดยยังคงเป้าหมายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ในปี 2558 ที่ 95,000 ราย "ปี 2563 เรามีเป้าหมายจะเพิ่มวอลุ่มให้แตะ 1 แสนล้านบาทต่อวัน ซึ่งเราก็จะเพิ่มฐานนักลงทุนให้สอดคล้องควบคู่กันไป ด้วยการขยายช่องทางต่าง ๆ เข้าถึงนักลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งเราอยากเห็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่ 1.5 ล้านรายในปี 63 และจำนวนนักลงทุนทั้งหมดที่ราว 2 ล้านราย"ดร.สันติ กล่าว


**เพิ่มสัดส่วนการเทรดออนไลน์แตะระดับ 50%
ตลท.ตั้งเป้าการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ต เป็น 50% ของปริมาณการซื้อขายรวมในปี 2559 จากปัจจุบันอยู่ที่ 43% ซึ่งจะเป็นไปตามการเน้นขยายฐานลูกค้าหน้าใหม่ โดยพบว่าปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตถึง 40 ล้านคนจากจำนวนประชากร 67 ล้านคน ถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ โดยตลท.จะพัฒนาเทคโนโลยี และแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและทำให้การซื้อขายไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป อาทิ ปรับปรุงระบบการซื้อขายผ่าน Streaming ให้ทันสมัย และง่ายต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น รวมถึงจะร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์นำ Streaming ไปพัฒนาต่อเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์นักลงทุนได้มากขึ้น ตามฐานลูกค้าของแต่ละแห่ง
โดยเบื้องต้นมีบล.ทิสโก้ ได้นำโปรแกรม Streaming ไปพัฒนาให้เหมาะสมกับลักษณะการลงทุนของลูกค้าแล้ว ส่วนของตลท. เอง ก็จะมีการปรับปรุงเวปไซต์ www.set.or.th ให้ง่ายต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้นและในเดือนเม.ย. นี้จะมีการเปิดตัว SET App ซึ่งจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของตลท. ผ่าน IOS และ Android เพื่อใช้งานกับสมาร์ทโฟนและแท็ปเล็ต ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงจะมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลของตลท. ผ่าน facebook และ youtube ให้มากยิ่งขึ้น

** คาดวอลุ่มต่อวันปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.2 หมื่นลบ.
พร้อมกันนี้ คงเป้าหมายมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 52,000 ล้านบาท แม้ ณ วันที่ 27 ก.พ. จะมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันขยับขึ้นไปถึง 57,316 ล้านบาท โดยมองว่าระหว่างปีอาจจะเกิดความผันผวนมากดดันปริมาณการซื้อขายได้ จึงยังคงไว้ที่เป้าหมายดังกล่าว
"เราคงยังไม่มีการปรับเพิ่มเป้าวอลุ่ม แม้เดือนก.พ. ที่ผ่านมาจะขึ้นไปถึง 5.7 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งมาจากแนวโน้มของตลาดยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดี แต่เราไม่สามารถทำนายได้ว่าระหว่างปีจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงยังคงไว้ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท"ดร.สันติ กล่าว

**ดันมาร์เก็ตแคปทะลุ 20 ล้านลบ.ในปี 63
อีกทั้งคาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) น่าจะทะลุ 20 ล้านล้านบาทในปี 2563 สอดคล้องกับเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ที่ 1 แสนล้านบาท โดยตลท. จะมีการส่งเสริมและผลักดันทั้งในด้านความรู้เรื่องการเงินแก่ประชาชนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้หลากหลายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยงและเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุน รวมถึงจะมีการพัฒนาสภาพคล่องของสินค้าและปรับปรุงการดำเนินงาน-เกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้เกิดเสถียรภาพในแง่ของคุณภาพการซื้อขาย
นอกจากนี้ จะมีการจัดทำลิสบริษัทที่ติดอยู่ในดัชนีความยั่งยืน DJSI ซึ่งในอนาคตหากมีจำนวนบริษัทมากพอที่เข้าเกณฑ์ DJSI ก็จะมีการจัดตั้งดัชนีแยกออกมา โดยน่าจะเห็นการรวบรวมลิสดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 3 นี้
ส่วนในปีนี้ คาดว่ามาร์เก็ตแคปคงอยู่ที่ราว 15-16 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ระดับ P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือว่าใกล้เต็มมูลค่าแล้ว อยู่ที่ 18 เท่า เทียบกับภูมิภาคที่อยู่เพียง 16-18 เท่า ดังนั้น มาร์เก็ตแคปคงไม่มีการขยับมากไปกว่านี้

**หุ้นไทยระนาว 20 จุด สวนทางฝรั่งกลับลำซื้อพันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นไทยวันทำการที่ผ่านมา (3 / 3 /2558) ผันผวนในแดนลบ โดยอยู่ในกรอบ 1582.67-1562.84 จุด ซึ่งเป็นการปรับลงรุนแรงจนลบราว 20 จุดในช่วง 10 นาทีสุดท้ายก่อนการปิดซื้อขาย สิ้นสุดที่ระดับ 1,562.84 จุด ลดลง -19.30 จุด หรือ -1.22% มูลค่าซื้อขาย 60,890.97 ล้านบาท
การจำแนกการซื้อขายรายกลุ่มผู้ลงทุนกลับพบนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกหลังจากขายอย่างต่อเนื่อง
ประเภทนักลงทุน มูลค่าซื้อ (ลบ.) มูลค่าขาย (ลบ.) สุทธิ (ลบ.)
นักลงทุนสถาบัน 3,727.41 4,065.99 -338.58
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 4,753.45 6,472.08 -1,718.63
นักลงทุนต่างชาติ 12,888.53 11,032.26 1,856.27
นักลงทุนทั่วไป 39,521.58 39,320.65 200.93

**โบรกเกอร์แนะจับตาหากปรับลดดอกเบี้ย ส่งผลดีต่อการลงทุน
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในเดือนมีนาคม จะแกว่งตัว Sideways โดยมีแนวต้านที่ 1,620 จุด และกรอบแนวรับที่ 1,540-1,560 จุด ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการเริ่มมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างเป็นทางการ ทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า (Fund flow) สู่ตลาดตราสารหนี้ของไทยในปริมาณสูง และน่าจะมีบางส่วนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ในช่วงที่ SET Index มีการปรับตัวลงมาจนอยู่ในระดับที่มี Valuation น่าสนใจ บวกกับคาดการณ์การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 11 มีนาคม หากมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยมองเป็น Upside surprise ต่อดัชนีตามปรากฏการณ์อัตราส่วนราคาต่อกำไรที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น (PE Expansion) ขณะเดียวกันความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk appetite) ของนักลงทุนรายย่อยยังคงอยู่ในระดับสูง หลังดอกเบี้ยเงินฝากภายในประเทศอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดี มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FOMC) ในวันที่ 17-18 มีนาคม คาดว่ามีโอกาสจะถอดคำว่า “อดทน (Patient)” ออกจาก Statement ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดทุนทั่วโลก ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ยังคงมีการปรับลดประมาณการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวแพงขึ้นโดยปริยาย
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้น Sideways แนะนำให้มองหาหุ้นที่ไม่อิงกับภาวะตลาด ซึ่งหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก จะมีโอกาสปรับตัวที่ดีกว่า (Outperform) หุ้นขนาดใหญ่ เนื่องด้วยระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk appetite) ของนักลงทุนรายย่อยยังอยู่ในระดับสูง บวกกับ Valuation ของหุ้นกลุ่มนี้ยังมีความน่าสนใจกว่าหุ้นขนาดใหญ่
สำหรับหุ้นแนะนำในบทวิเคราะห์ The Big Picture จำนวน 20 บริษัท ได้แก่ GLOBAL, IFEC, VGI, TCAP, BJCHI, JMT, TMB, WHA, THAI, TRUE, ROBINS, SUPER, SGP, KKP, STA, CPF, CCP, MONO, FOCUS และ TPCH


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com