April 19, 2024   8:03:59 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นเด้งหลังดิ่งลึก 55 จุด วันนี้ลุ้นรีบาวน์ต่อเนื่อง
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 17/12/2014 @ 08:39:39
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

นักวิเคราะห์คาดวันนี้ กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.0% รอดูความชัดเจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนตัดสินใจอีกครั้ง ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจไทยพาณิชย์ -บล.ทิสโก้ -บล.กรุงศรี -บล.ภัทร-บล.ฟินันเซีย ไซรัส-บลจ.กสิกรไทย เห็นพ้องวันนี้ไม่เห็นสัญญาณเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย ด้านบล.คันทรี่ กรุ๊ป ห่วงแบงก์ชาติทำเซอร์ไพรซ์ลดดอกเบี้ย สวนทางสหรัฐฯ กดดันเงินทุนไหลออก กระทบตลาดเงิน-ตลาดทุน ด้านหุ้นไทยยังดิ่งลงต่อเนื่องกว่า 50 จุด แตะจุดต่ำสุดที่ 1,420 จุด ก่อนรีบาวน์ขึ้นมาปิดเหนือ 1,461 จุด ลุ้นวันนี้ฟื้นตัวต่อเนื่อง


***ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ทองจะคงอัตราดบ.ไปถึงกลางปีหน้าก่อนปรับขึ้น
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB EIC) ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะมีการพิจารณาในวันนี้ (17 ธ.ค. 2557) จะคงอยู่ที่ระดับ 2.0% จนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งนโยบายการเงินยังมีความจำเป็นต้องผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับไม่สูงนักราว 2.2% แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียและฟิลิปปินส์ที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศสามารถขยายตัวได้ค่อนข้างดี และอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ มองว่ามีอีกหลายปัจจัยที่อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มปรับขึ้นในปี 58 ปัจจัยหลักมาจาก
1.แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยใกล้เคียงศักยภาพมากขึ้นทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมไปถึงการลงทุนจากภาครัฐที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้นหลังจากมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
2.แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายการเงินนี้จะอาจจะส่งผลให้ประเทศไทยต้องพบกับภาวะเงินทุนไหลออกอีกครั้งหนึ่ง
"ทั้ง 2 เหตุผลนี้ทำให้ EIC ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเริ่มปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปี 58 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้อย่างชัดเจน และเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่จะเริ่มเร่งขึ้นไปถึงระดับราว 2% ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า"
พร้อมแนะว่าผู้ประกอบการและภาคธุรกิจควรเตรียมรับมือกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.25-2.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้าด้วย

***บล.ทิสโก้ เชื่อดอกเบี้ยไม่ขยับ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ กล่าวว่า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มองว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 
กลยุทธ์การลงทุนชะลอการลงทุนรอดูทิศทางของตลาดฯให้มีเสถียรภาพมากกว่านี้ หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ แนะนำให้ซื้อกองทุน LTF/RMF และหุ้นที่ปันผลดี พร้อมประเมินแนวรับที่ 1,420-1,425 จุดและแนวต้านที่ 1,445 จุด

***บล.กรุงศรี ระบุไม่มีน้ำหนักพอที่จะขยับดอกเบี้ย
บล.กรุงศรี ระบุว่า ตามที่ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยาประเมิน GDP ไทยปีนี้เท่ากับ 0.8% แต่ปีหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ 3.8-4.8% ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคส่งออกที่คาดจะฟื้นมาขยายตัว 2-4% จากปีนี้คาดหดตัว 0.1% ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศหลักบางประเทศมีแนวโน้มอ่อนแอกว่าคาดและดอกเบี้ยโลกอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น กนง.อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ในระยะถัดไป
จากการวิเคราะห์ถ้อยแถลงจากการประชุม กนง.ที่มีการลดดอกเบี้ย 4 ครั้งหลังสุด(17 ต.ค.55, 28-29 พ.ค.56, 27 พ.ย.56 และ 12 มี.ค.57)พบว่าการตัดสินใจของ กนง.ให้น้ำหนักกับ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.เศรษฐกิจโลก 2.เงินเฟ้อ 3.อุปสงค์ในประเทศหรือการบริโภค
หากพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบัน เชื่อว่าปัจจัยที่ 1 และ 2 น่าจะมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ กนง.พิจารณาลดดอกเบี้ย กล่าวคือ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่เคยประเมิน และจะมีผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกของไทยที่มีสัดส่วน 70% ของ GDP สำหรับเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดต่ำลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำ โดยเงินเฟ้อเดือน พ.ย.57 เพิ่มขึ้นเพียง 1.26% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี เพราะฉะนั้นหาก กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ย ก็ยังทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง(Real rate)เป็นบวกต่อไป
ปัจจัยที่ 3.การบริโภคในประเทศ ซึ่งมักเคลื่อนไหวล้อไปกับราคาพืชผลทางการเกษตร(มีผลต่อกำลังซื้อของเกษตรกร) ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เราเชื่อว่า กนง.จะรอดูความชัดเจนก่อน เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/57 เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการและมาตรการช่วยเหลือชาวนาผู้มีรายได้น้อย(1,000 บาท/ไร่)เป็นต้น
ดังนั้น เราคาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2% ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.นี้ และประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่จะลดดอกเบี้ยราว 0.25% ภายในไตรมาส 1/58 ที่ กนง.จะประชุมอีก 2 ครั้งคือ 28 ม.ค.58 และ 11 มี.ค.58 โดยเฉพาะหาก GDP ไทยในไตรมาส 4/57 ซึ่งจะประกาศวันที่ 16 ก.พ.58 ออกมาต่ำกว่าคาด(ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีประเมินเบื้องต้นที่ราว 2.5-3%) ก็มีโอกาสสูงที่ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มี.ค.58

***บล.ภัทร มอง ดอกเบี้ยคงที่ยาวถึงปลายปีหน้า
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร ประเมินว่า การประชุมรอบนี้ กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% เช่นเดิม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่เป็นแรงกดดันให้ กนง.ต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ไปจนถึงปลายปี 58 ซึ่งในช่วงเวลานั้นหากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ดี ก็คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เท่านั้นในช่วงปลายปีหน้า

***บลจ.กสิกรไทย ชี้คงดอกเบี้ย
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค. นี้ คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% ไปจนถึงกลางปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนในครึ่งปีหลังมองว่าจะมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยจะปรับขึ้นประมาณ 0.25% และในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปีหน้า จากเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัว

***บล.คันทรี่ กรุ๊ป ห่วงแบงก์ชาติทำเซอร์ไพรซ์ลดดอกเบี้ย สวนทางสหรัฐฯ กดดันเงินทุนไหลออก
นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยว่า ปัจจัยเสี่ยงเรื่องการลดดอกเบี้ยสวนทางสหรัฐ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง กระทบต่อมูลค่าหุ้นในกลุ่มพลังงาน และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศในช่วงครึ่งปีแรกจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญแรงขายจนปรับฐานลงมาก่อน และค่อยฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ขณะที่แนวโน้มทางเทคนิคเตือนการปรับฐานเช่นเดียวกัน

***ทิศทางหุ้นไทยปลายปีนี้ และปี 58
นายรณกฤต กล่าวว่า CGS คาดการณ์เป้าหมาย SET ในปี 2558 โดยมีสมมุติฐานการเติบโตของกำไร บจ. ที่ 12% ทำให้ EPS อยู่ที่ 104.59 บาท ขณะที่ปี 2557 กำไร บจ. คาดว่าขยายตัวราว 5% และที่ PE 17 เท่าจะพบว่า SET ที่ 1,587 จุดใกล้เคียงกับช่วงเดือนธันวาคม และที่ระดับ 14 เท่า ใกล้เคียงกับช่วงเดือนมกราคม 2557 ดังนั้นหากเราใช้ช่วงนี้เป็นกรอบในปี 2558 เราจะได้แนวรับ SET ที่ 1,464 จุด และแนวสูงสุดที่ 1,778 จุด 
“ปี 2557 เรากังวลมูลค่าตลาดที่สูงเกิน GDP อาจส่งสัญญาณฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยเรื่องการลดดอกเบี้ยสวนทางสหรัฐฯ ราคาน้ำมันที่ลดลง กระทบต่อมูลค่าหุ้นในกลุ่มพลังงาน และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศในช่วงครึ่งปีแรก จะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญแรงขายจนปรับฐานลงมาก่อน และค่อยฟื้นตัวในครึ่งหลัง ขณะที่แนวโน้มทางเทคนิคเตือนการปรับฐานเช่นกัน”นายรณกฤต กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้ SET สามารถยืนเหนือ 1,500 จุดมาอย่างต่อเนื่องและขนาดของมูลค่าตลาดรวม (Market capital) ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าสูงถึง 14.6 ล้านล้านบาท มีการขยายตัวที่แซงหน้าตลาดหุ้นของประเทศสิงคโปร์ไปแล้ว แต่เรากลับมีการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2557 ที่น้อยกว่า 1% และไม่เกิน 4.5% ในปี 2558 โดยปัจจุบันเรามีมูลค่าของ GDP ที่ 12.8 ล้านล้านบาทต่ำกว่ามูลค่าตลาดหุ้นถึง 13% ถือว่าตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงกว่า GDP มากที่สุดที่เคยมีมา ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศหดตัวอย่างแรงพร้อมๆ กับเงินเฟ้อที่เข้าขั้นฝืด อุตสาหกรรมต่างๆ ชะลอตัวอย่างชัดเจน แต่กลับไปโตในภาคตลาดหุ้น

***ลุ้นหุ้นวันนี้รีบาวน์
ผู้สื่อข่าวรายงาน ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้เปิดที่ 1442.82 จุด ปรับลดลงต่อนื่องแล้วระว่างวันลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1422.63 จุด ก่อนจะปรับขึ้นปิดที่ 1,461.74 จุด ลดลง -16.75 จุด หรือ -1.15% มีมูลค่าการซื้อขาย 75,869.17 ล้านบาท สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 8374.38 ล้านบาท
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายากลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียพลัส เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยระหว่างวันปรับตัวลงแรงสุดกว่า 50 จุด ก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ลดช่วงลบลง แม้ว่าแรงขายยังคงมีออกมาจากนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบัน แต่แรงขายเริ่มลดน้อยลง หลังจากวันก่อนที่ดัชนีฯ ปรับตัวลงแรงระหว่างวันร้อยกว่าจุด จากกรณีข่าวลือสถานการณ์ในประเทศ   
ทั้งนี้เหตุการณ์ดัชนีฯปรับลงแรงเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2549 เหตุการณ์ Capital Control ที่ดัชนีฯ ปรับร่วงถึง 142 จุด คิดเป็น 19% และครั้งที่สองเมื่อ 14-15 ต.ค.2552 ดัชนีฯ ร่วง 75 จุด ราว 10% ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งที่สองมีข่าวลือที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด แต่อย่างไรก็ตามแรงขายที่เริ่มน้อยลง เป็นเพียงแรงขายที่เริ่มเบาบางลง ยังไม่ถือว่าหมดไป ดัชนีฯ ยังคงผันผวนอยู่ ขณะที่เริ่มเห็นนักลงทุนบางส่วนมองเป็นจังหวะดีที่จะกลับเข้ามาซื้อบ้างแล้ว เนื่องจาก หากดูค่า PE ที่เริ่มปรับตัวลงเหลือ 14 เท่า แรงซื้อนี้จึงช่วยประคองดัชนีฯ ให้ปรับตัวขึ้นได้  
สำหรับวันนี้ คาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวน์ หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณแรงขายน้อยลง นักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อหุ้นบ้างแล้ว อีกทั้งคาดว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รอบนี้ น่าจะยังไม่ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยออกมากดดันตลาด ซ้ำเติมดัชนีดาวน์โจนส์ที่ปรับตัวลงแรงในช่วงนี้   
ด้านกลยุทธ์ เป็นจังหวะทยอยเก็บหุ้นปันผลสูง อาทิ ADVANC - INTUCH - STPI โดยประเมินแนวรับ 1,440 จุด แนวต้าน 1,487 จุด

***ประมวลคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย
สำนักวิจัย คาดมติ กนง. อัตราดอกเบี้ยใหม่
บล.กรุงศรี คง 2.00%
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธ.ไทยพาณิชย์ คง 2.00%
บล.ภัทร คง 2.00%
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คง 2.00%
บล.ทิสโก้ คง 2.00%
บลจ.กสิกรไทย คง 2.00%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ลด 1.75%
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธ.ทหารไทย ลด 1.75%
บล.ธนชาต ลด 1.75%

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com