March 29, 2024   1:14:20 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > SCCกำไรQ3/57ทรุด-ลุ้นฟื้นตัวปี58
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 17/10/2014 @ 08:13:17
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

โบรกเกอร์ประสานเสียง SCC กำไร Q3/57 ทรุด คาดทำได้ 6.6-7.4 พันล้านบาท แต่จะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนในปีหน้า "ฟิลลิป" ระบุ Q3 ธุรกิจปูน-วัสดุก่อสร้าง-กระดาษ ชะลอตัว กดดันกำไรก่อนรายการพิเศษวูบ 18% คาดทั้งปีกำไรลดลง 17% "เมย์แบงก์ กิมเอ็ง" มอง SCC ฟื้นช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ "ทรีนีตี้" แนะซื้อลงทุนระยะยาว ให้ราคาเป้าหมาย 520 บาท ด้าน "เคจีไอ" ประเมินปีหน้ากำไรโตอย่างแข็งแกร่งถึง 16.2% แตะ 4.02 หมื่นล้านบาท ส่วน"เอเซียพลัส" การันตี 3 ปีข้างหน้ากำไรเป็นขาขึ้นชัดเจน

*ฟิลลิป ชี้ ธุรกิจปูน-วัสดุก่อสร้าง-กระดาษชะลอ คาดทั้งปีกำไรลดลง 17%
บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุว่า ธุรกิจหลักของ SCC มีแนวโน้มชะลอตัวใน 3Q57 โดยธุรกิจปูน/วัสดุก่อสร้างชะลอจากช่วง Low Season และกิจกรรมการก่อสร้างใหม่จากโครงการภาครัฐฯยังไม่ได้เริ่มต้น ส่วนธุรกิจกระดาษมีการปิดซ่อมโรงงาน จึงเดินการผลิตไม่เต็มที่ การดำเนินงานจึงลดลง ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีเป็นธุรกิจหลักเดียวที่มีการดำเนินงานที่ดีตาม Spread ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรก่อนรายการพิเศษ 3Q57 อ่อนลง 18% เหลือ 6.6 พันล้านบาทจาก 3Q56 ที่มีกำไรสูงถึง 8 พันล้านบาท เนื่องจาก ทางบริษัทมีการรับรู้รายการพิเศษจากการตีมูลค่าเงินลงทุนธุรกิจสุขภัณฑ์ (Sanitary) และกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้ TOTO รวมกัน 1.7 พันล้านบาทใน 3Q56 ฐานกำไรสุทธิ 3Q56 จึงสูงถึง 9.7 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 3Q57 จึงลดลงมากถึง 33%
แม้กำไร 3Q57 จะลดฮวบ แต่ยังคงเป็นไปตามประมาณอัตราเติบโตของกำไรปีนี้ที่ลดลง 17% ทั้งนี้ อุตสาหกรรมก่อสร้างซบเซามากทำให้ธุรกิจปูนฯ/วัสดุก่อสร้างอ่อนลง ส่วนธุรกิจกระดาษได้รับผลลบเช่นกันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่า ธุรกิจปิโตรเคมียังเติบโตได้ แต่การชะลอตัวของ 2 ธุรกิจหลักข้างต้นฉุดรั้งกำไรปีนี้ลดลง
อย่างไรก็ดี แนวโน้มปีหน้าน่าจะมีความหวังกลับมาเติบโตค่อนข้างมาก ธุรกิจปูนฯ/วัสดุก่อสร้างน่าจะกลับมา เชื่อว่ากิจกรรมก่อสร้างโครงการภาครัฐฯน่าจะมีมากขึ้น กอปร ความเชื่อมั่นของตลาดที่อยู่อาศัยน่าจะนำพาการลงทุนที่มากขึ้นของบรรดาผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ ธุรกิจกระดาษน่าจะดีตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ ธุรกิจปิโตรเคมียังน่าจะดีต่อเนื่องตามวงจรราคาที่ดีต่อเนื่องตามอัตราการเพิ่มขึ้นของ Supply ใหม่ที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ การเพิ่มกำลังการผลิตปูนฯที่เขมรและอินโดนีเซีย น่าจะเสริมการเติบโตได้อีก ทางฝ่ายคาดหมายกำไรกลับมาเติบโต 14% คำแนะนำการลงทุนจาก Growth ที่ดีในปีหน้า ทางฝ่ายคงคำแนะนำ "ทยอยซื้อ" ราคาพื้นฐาน 480 บาท

* เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองเริ่มฟื้นใน Q4/57
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า กำไร 3Q57 คาดจะทรุดลงเหลือ 6.85 พันล้านบาท (-20%QoQ, -30%YoY) เนื่องจากไม่มีตัวช่วยเช่นไตรมาสก่อนและปีก่อน รวมถึงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและขาดทุนในสต็อกธุรกิจปิโตรเคมี แนวโน้ม 4Q57 คาดจะดีขึ้นทั้งตัวช่วยรายได้จากเงินปันผล 1.2-1.5 พันล้านบาท และ ธุรกิจฟื้นตัว แนวโน้มในปี 2558 และ ระยะยาวคาดจะเติบโต จากการลงทุนต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี 2.5 แสนล้านบาท เน้นในอาเซียน ธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนภาครัฐฯจะหนุนธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างปีหน้า ประเมินราคาเป้าหมาย 500 บาท แต่ในระยะสั้นราคาหุ้นมีแนวโน้มจะถูกกดดันจากผลประกอบการ 3Q57 และปีนี้จะไม่เด่น แนะนำรอจังหวะซื้อช่วงอ่อนตัว?
?คาดกำไร 3Q57 จะลดลงเหลือ 6,850 ล้านบาท (-20%QoQ, -30%YoY): SCC จะประกาศผลประกอบการ 3Q57 ในวันที่ 29 ต.ค. นี้ เราประเมินจะมีกำไรที่ลดลงเหลือ 6,850 ล้านบาท (-20%QoQ, -30%YoY) เนื่องจากในไตรมาสนี้ไม่มีตัวช่วย คือ ในไตรมาส 2Q57 มีเงินปันผลรับเข้ามา 1,883 ล้านบาท และ ในไตรมาส 3Q56 มีกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุน 1.7 พันล้านบาท และ ยังถูกกระทบจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และ ขาดทุนในสต็อกในธุรกิจปิโตรเคมี 1.) ธุรกิจปิโตรเคมีผลิตภัณฑ์หลัก HDPE และ PP มีสเปรดดีขึ้นอย่างมาก แต่ก็มีผลขาดทุนในสต็อกวัตถุดิบ Naphtha ซึ่งไม่มากนัก คาดประมาณ 500 ล้านบาท จากการเตรียมการและบริหารวัตถุดิบที่ดีของ SCC ในขณะที่ธุรกิจร่วมทุนมีผลประกอบการที่ไม่ดีต่อเนื่อง และ LLDPE มีการปิดซ่อมบำรุง คาดจะมีกำไร 2,458 ล้านบาท (+9%QoQ, -35%YoY) 2.) ธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ความต้องการปูนซีเมนต์ในไตรมาสนี้คาดจะอ่อนตัวลง 3%YoY คาดจะทำให้กำไรชะลอตัวลงเหลือ 3,357 ล้านบาท (-3%QoQ, -37%YoY) 3.) ธุรกิจกระดาษ มีการปิดซ่อมบำรุง และ ภาวะชะลอตัวของความต้องการคาดกำไรทรุดลงเหลือ 704 ล้านบาท (-21%QoQ, -11%YoY)
ภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจใน 4Q57 จะหนุนผลประกอบการของ SCC ดีขึ้น และ ในไตรมาส 4Q57 จะมีตัวช่วยคือเงินปันผลจากเงินลงทุนในบริษัทลูกเข้ามาช่วยประมาณ 1.2-1.5 พันล้านบาท แต่การฟื้นตัวจะยังไม่เด่นนัก แนวโน้มปี 2558 คาดจะกลับมาเติบโตได้ดี โดยจะได้แรงหนุนจากทุกธุรกิจ ธุรกิจปูนซีเมนต์ คาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะหนุนให้เติบโต 5-10% ธุรกิจปิโตรเคมี ส่วนต่างระหว่าง PE-Naphtha และ PP-Naphtha ยังอยู่ในวงจรขาขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ของโลกเข้ามาน้อย ธุรกิจกระดาษได้แรงหนุนจากกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยแนวโน้มในระยะยาวคาดจะยังเติบโตจาก SCC ยังคงเป้าลงทุน 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ?
?ผลประกอบการยังสร้างความผิดหวัง แนะนำรอซื้อช่วงอ่อนตัว เป้าหมาย 500 บาท: ผลประกอบการ 3Q57 จะทรุดลงต่อ จะยังสร้างความผิดหวัง เราแนะนำ รอจังหวะซื้อในช่วงอ่อนตัว โดยประเมินราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าที่ 500 บาท (บนฐาน Average P/E + 1 SD เท่ากับ 15.5 เท่า)ความเสี่ยง : ภาวะผันผวนในธุรกิจปิโตรเคมี และ ธุรกิจปูนซีเมนต์-วัสดุก่อสร้างยังชะลอตัว

*ทรีนีตี้ แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว ให้เป้าหมาย 520 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า คาดผลประกอบการประจำ 3Q57 ของ SCC ยังอ่อนแอ: คาดรายได้สุทธิก่อนรายการพิเศษอยู่ที่ 7,486 ล้านบาท -12% qoq, -7% yoy เนื่องจาก1) มีการปิดซ่อมบำรุงของธุรกิจกระดาษทำให้เราประเมินรายได้ที่หายไปประมาณ 2 พันล้านบาท 2) ธุรกิจปูนซีเมนต์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเป็นช่วง Low season เนื่องจากเป็นหน้าฝนและการบริโภคในประเทศยังไม่ฟื้นตัวดี ธุรกิจปิโตรเช้าสู่ High Season กลุ่มของธุรกิจปิโตรยังดีอยู่ในไตรมาสนี้เนื่องจากเป็นช่วง High Season ทำให้ราคา HDPE ยังคงทรงตัวอยู่ได้ที่ระดับ 1,550-1,600 $/Ton ในส่วนชองธุรกิจปูนซีเมนต์ประเมินอุตสาหกรรมจะมีการใช้ปูน 8.4 ล้านตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนประมาณ 3% มองข้ามช็อต Look Aheadแนวโน้มในปี 58 น่าจะกลับมาเติบโตได้ตามเดิมจากการลงทุนในโครงสร้างพื่นฐานปูนซีเมนต์ในประเทศน่าจะกลับมาเติบโตได้ 5-10% แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว ที่ราคาเป้าหมาย 520 บาทคาดผลประกอบการยังชะลอตัว
เราผลประกอบการประจำ 3Q57 ยังอ่อนแอ: คาดรายได้สุทธิก่อนรายการพิเศษอยู่ที่ 7,486 ล้านบาท -12% qoq, -7% yoy เนื่องจาก1) มีการปิดซ่อมบำรุงของธุรกิจกระดาษทำให้เราประเมินรายได้ที่หายไปประมาณ 2 พันล้านบาท 2) ธุรกิจปูนซีเมนต์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเป็นช่วง Low season เนื่องจากเป็นหน้าฝนและการบริโภคในประเทศยังไม่ฟื้นตัวดี แม้จะมีเม็ดเงินจากรัฐบาลเข้ามาช่วยแล้วก็ตามแต่เม็ดเงินดังกล่าวยังไม่ส่งผลถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาสนี้ประเมินจะมีขาดทุนจาก Naphtha ประมาณ 270 ล้านบาท เนื่องจากราคา Naphtha มีการปรับลดจากไตรมาสก่อนประมาณ 40 $/Ton ทำให้คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,216 ล้านบาท -15% qoq, -26% yoy ( 3Q13 มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรมประมาณ 1,700 ล้าน)
ธุรกิจปิโตรเช้าสู่ High Season กลุ่มของธุรกิจปิโตรยังดีอยู่ในไตรมาสนี้เนื่องจากเป็นช่วง High Season ทำให้ราคา HDPE ยังคงทรงตัวอยู่ได้ที่ระดับ 1,550-1,600 $/Ton ในขณะที่ Naphtha มีการปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันที่ได้มีการปรับตัวลงทำให้ส่วนต่างราคา HDPE-Naphtha ปรับตัวมาอยู่ที่ 690-700 $/Ton เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 630$/Ton เราประเมินปริมาณการขายปิโตรเคมีอยู่ที่ 4.65 แสนตันใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ 4.63 แสนตัน
ธุรกิจปูนซีเมนต์คาดไตรมาสนี้จะอ่อนตัวลงเล็กน้อย เราประเมินอุตสาหกรรมปูนในประเทศโดยรวมจะลดลงเนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝนทำให้มีการก่อสร้างได้ลำบาก ประเมินอุตสาหกรรมจะมีการใช้ปูน 8.4 ล้านตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนประมาณ 3% ทำให้ยอดขายโดยรวมของบริษัทลดลงเช่นเดียวกัน ในขณะที่ราคาขายทรงตัวที่ระดับ 1,850-1,900 บาทต่อตัน ในขณะที่ผลิตก่อสร้างยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากเนื่องจากเป็นหน้าฝนและการบริโภคในประเทศยังไม่ฟื้นตัวดีมองข้ามช็อต Look Ahead
ในปี 57 ยังคงมีแรงกดดันต่อผลประกอบการ แต่อย่างไรก็ดีแนวโน้มในปี 58 น่าจะกลับมาเติบโตได้ตามเดิมจากการลงทุนในโครงสร้างพื่นฐานของรัฐบาลจะทำให้ความต้องการใข้ปูนซีเมนต์ในประเทศน่าจะกลับมาเติบโตได้ 5-10% รวมถึงในปี 58 บริษัทเตรียมเดินเครื่องโรงปูนแห่งใหม่ที่กัมพูชา และอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตที่ 1 ล้านตัน และ 1.8 ล้านตันตามลำดับ และที่พม่าและ ลาวกำลังการผลิตแห่งละ 1.8 ล้านตัน ซึ่งจะเดินเครื่องได้ในปี 59 และ 60 ตามลำดับ โดยความต้องการปูนในแถบอาเซียยังเติบโตได้ในอัตรา 10-15%แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว ที่ราคาเป้าหมาย 520 บาท
เรามองข้ามไปปี 58 หลังปัจจัยการเมืองเข้าสู่สภาวะปกติ การลงทุนภาครัฐและเอกชนที่จะดีขึ้น ประกอบกับโรงงานปูนแห่งใหม่จะเริ่มการผลิตได้ เราจึงยังมองว่าบริษัทยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ราคาเป้าหมาย 520 อิง P/BV 3 เท่า

* เคจีไอ ประเมิน ปี 58 กำไรโตแข็งแกร่งถึง 16.2% แตะ 4.02 หมื่นล้านบาท
??บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า ประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิของ SCC น่าจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 3/57 เนื่องจากสภาวะการบริโภคในประเทศที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ คาดจะช่วยให้ผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/57 เป็นต้นไปlmpact
??แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาสที่ 3/57 คาดจะอยู่ที่ 7.0 พันล้านบาท ลดลง 28.2% YoY และ 17.6% QoQสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3/57 ลดลงเหลือ 7 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 3/57 ก็คืออุปสงค์วัสดุก่อสร้างที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงฤดูฝน และการปิดปรับปรุงโรงงานกระดาษ ธุรกิจปิโตรเคมี: แม้ว่าส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์สาย olefin/Naphtha จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ US$680-700/ton แต่แรงกดดันทางด้านต้นทุนจากโรง cracker มาสู่ผู้ผลิตยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง แต่น้อยกว่าในไตรมาสที่ 2/57 ซึ่งคาดจะส่งผลให้อัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำ ดังเห็นได้จากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ (HDPE-Ethylene) ซึ่งจำกัดอยู่เพียงแค่ US$128/ton เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก US$121/ton ในไตรมาสที่ 2/57 ดังนั้น เราจึงคาดว่า EBITDA margin จะลดลงเหลือ 8.5% จาก 10.6% ในไตรมาสที่ 3/56 และ แต่เพิ่มขึ้นจาก 7.2% ในไตรมาสที่ 2/57
??ธุรกิจกระดาษ: เราประเมินธุรกิจกระดาษจะมีผลประกอบการที่อ่อนแอในไตรมาสที่ 3/57 เนื่องจาก i) อุปสงค์ที่ต่ำในช่วง low season ของทั้งสายบรรจุภัณฑ์ และ fibrous chain และ ii) การปิดปรับปรุงโรงงานภายในไตรมาส ซึ่งส่งผลให้ EBITDA margin ไตรมาสที่ 3/57 ลดลงเหลือ 13.9% จาก 15.0% ในไตรมาสที่ 3/56
??ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง: การเบิกจ่ายที่ล่าช้าและอุปสงค์ที่ต่ำในช่วงฤดูฝน คาดจะทำให้อุปสงค์ของปูนซีเมนต์ลดลง 3.0% YoY ขณะที่ราคาขายปูนซีเมนต์ในประเทศทรงตัวอยู่ที่ 1,950-2,000 บาท/ตัน ดังนั้นจึงคาดว่า EBITDA margin ในไตรมาสที่ 3/57 จะลดลงเหลือ 14.0% จาก 15.0% ในไตรมาสที่ 3/57คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า??เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2557 เอาไว้ที่ 3.45 หมื่นล้านบาท ลดลง 5.9% YoY จาก 3.67 หมื่นล้านบาทในปี 2556
อย่างไรก็ตาม ทิศทางกำไรสุทธิของ SCC น่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งถึง 16.2% YoY เป็น 4.02 หมื่นล้านบาทในปี 2558 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก i) การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศจากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ 2.5 ล้านล้านบาทในปีงบประมาณ 2558 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ของปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ii) การที่บริษัทมีสถานะที่เข้มแข็งจากการเป็นผู้นำในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และ fibrous chain ระดับภูมิภาค และอุปสงค์ที่ทรงตัวของเคมีภัณฑ์ iii) โครงการลงทุนในภูมิภาคเริ่มทำการผลิต อย่างเช่นโรงปูนขนาด 0.9 ล้านตัน ในกัมพูชาซึ่งจะเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 2/58 และโรงปูนขนาด 1.8 ล้านตันในอินโดนีเซียซึ่งจะเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 3/58 โดยอุปทานที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองอุปสงค์ของการใช้ปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นในตลาด ASEAN ได้Stocks for action จากสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนของผลประกอบการในปีหน้า เราจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 550.0 บาท (Sum of the part).Risks

" เอเซียพลัส " การันตี กำไรเข้าสู่ช่วงขาขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ??ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อ Spread ของธุรกิจปิโตรเคมี โดยงวด 3Q57 Spread Naphtha-HDPE พุ่งสูงถึง 685 เหรียญฯ/ตัน เทียบกับระดับ 618 เหรียญฯ/ตัน ในไตรมาสก่อน แต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่กับธุรกิจปิโตรเคมีต้นน้ำ ซึ่ง SCC ถือหุ้นอยู่เพียง 65% ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายที่ SCC ถือหุ้น 100% รวมถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทย่อยทั้ง Butadiene และ PTA ยังมี Spread ที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ SCC ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากช่วง High Season ของธุรกิจ สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง คาดจะมีกำไรหดตัวถึง 39%YoY เนื่องจากปีก่อน SCC มีกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่าเงินลงทุน 1.7 พันล้านบาท อีกทั้งในปีนี้ยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งทำให้ปริมาณการใช้ปูนในประเทศช่วง 3Q57 ลดลง 3%YoY ส่วนธุรกิจกระดาษจะมีการหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่ถูกเลื่อนมาจากช่วง 1H57 ทำให้กำไรปรับตัวลดลงชัดเจน โดยรวมคาดว่างวด 3Q57 SCC จะมีกำไรสุทธิเพียง 7,170 ล้านบาท ลดลง 27%YoY
SCC ยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะทุ่มงบลงทุน 4-5 หมื่นล้านบาท/ปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สำหรับโครงการลงทุนที่มีมูลค่าสูง ที่ได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจปูนซีเมนต์ ซึ่ง SCC มีแผนที่จะขยายฐานการผลิตไปสู่ประเทศในอาเซียนทั้ง พม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย และลาว ซึ่งถือเป็นประเทศทีมีอัตราการเติบโตสูงและยังมีปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ต่อประชากรต่ำกว่าประเทศไทยมาก ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลัก คาดว่า SCC จะประกาศแผนลงทุนโครงการ Petrochemical Complex ในประเทศเวียดนาม มูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญฯ ได้ในช่วง 1Q58 หลังเตรียมความพร้อมแล้วเกือบทุกด้าน ทั้งการจัดหาพื้นที่ การทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบ รวมถึงการคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้าง โดย SCC ได้ให้ความสำคัญอย่างมากต่อตลาดอาเซียน ซึ่งปัจจุบันยอดขายในอาเซียน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 21% ของยอดขายทั้งหมดของ SCC
คงคำแนะนำ ซื้อ??แม้กำไรช่วง 9 เดือนแรกของ SCC ยังไม่สดใส จากปัจจัยลบหลายด้านที่อยู่เหนือการควบคุม แต่เชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น รวมถึงการส่งผ่านกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีต้นน้ำมาสู่ปิโตรเคมีปลายน้ำที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ SCC ได้รับประโยชน์เต็มที่จากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมีตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนกำไรในช่วง 3 ปีข้างหน้า ฝ่ายวิจัยประเมิน Fair Value ด้วยวิธี DCF จะให้ราคาเหมาะสมปี 2558 ที่ 515 บาท แนะนำ ซื้อ

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com