April 19, 2024   10:52:41 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > RICHYลงสนามเทรด-ลุ้นวิ่งทะลุ6บาท
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 07/08/2014 @ 08:29:05
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

"ริชี่เพลซ 2002" ได้ฤกษ์ลงสนามเทรดวันแรก ผู้บริหารมั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดี เหตุพื้นฐานแกร่ง หลังระดมทุนหนุนฐานะทางการเงินปึ้ก พร้อมขยายโครงการอสังหาฯใหม่รองรับการเติบโตต่อเนื่อง ระบุธุรกิจเติบโตควบคู่กับการขยายตัวของระบบคมนาคม ย้ำชัดไม่นำเงินระดมทุนไปชำระหนี้เก่าแม้แต่บาทเดียว ด้านโบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.41 บาท ชี้มาร์จิ้นเฉลี่ยย้อยหลัง 2 ปีสูงถึง 37.7% กำไรสุทธิเฉลี่ย 16.9% เพราะมีโครงการสวยบนทำเลใกล้รถไฟฟ้า สร้างเสร็จเร็วก่อนกำหนด คุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเมินรายได้ปี 59 แตะ 3 พันล้านบาท EPS 3 ปีข้างหน้าโต 56%

** ตลท.รับ RICHY เข้าเทรดวันแรก
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้รับหุ้นของ บมจ. ริชี่เพลซ 2002 (RICHY) เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดพัฒนาอสังหาริทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2557 ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,356 ล้านบาท โดย RICHY ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีโครงการประเภทคอนโดมิเนียม ที่เน้นใกล้เคียงกับสถานีขนส่งมวลชนระบบราง ภายใต้ชื่อ “เลอริช” และ “ริชพาร์ค” และโครงการประเภทบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ ทาวโฮมส์ ภายใต้ชื่อ “เดอะริช” และ “ริชชี่ วิลล์”
RICHY มีทุนชำระแล้ว 714 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 214 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 28 - 29 กรกฎาคม และ 1 สิงหาคม 2557 ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 706 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร RICHY เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงให้แก่บริษัท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ขยายโครงการใหม่รองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับบริษัท
ทั้งนี้ RICHY มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มอรรถบูรณ์วงศ์ ถือหุ้น 54.36% คุณสุณี สถตินันท์ ถือหุ้น 6.33% คุณวรภา มนต์อารักษ์ ถือหุ้น 2.18% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ประมาณ 14.35 เท่า โดยคำนวณจากกําไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 เมษายน 2556 – 31 มีนาคม 2557) ซึ่งเท่ากับ 161.36 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท โดยที่ค่า P/E Ratio เฉลี่ยของผู้ประกอบการอื่นในอุตสหากรรมเดียวกันและมีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดใกล้เคียงกัน ที่จดทะเบียนอยู่ในตลท. เฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 12 เดือน (15 กรกฎาคม 2556 - 14 กรกฎาคม 2557) เท่ากับ 11.76 เท่า บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้

*** ผู้บริหารมั่นใจหุ้นยืนเหนือจอง
ดร.อาภา เปิดเผยว่า มีความเชื่อมั่นว่าเมื่อหุ้น RICHY เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งปรเทศไทย (SET) จะได้รับการตอบรับที่อบอุ่นและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้น โดยที่ผ่านมากระแสตอบรับในช่วงเปิดขายหุ้น IPO ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจที่จะขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความโดดเด่นในหลายๆด้าน มีบุคคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะและได้ทำวิจัยอย่างเจาะลึกในทุกโครงการก่อนที่จะออกแบบ และดำเนินการก่อสร้าง รวมถึงก่อนการขาย และให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพทำให้อัตราการขายของแต่ละโครงการอยู่ในระดับสูงกว่า 80-90% ขึ้นไป
ส่งผลให้ตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมาบริษัทมีผลกำไรในทุกๆปี และมีกำไรขั้นต้นอยู่ในอัตราที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม โดยสิ้นปี 2556 มีกำไรขั้นต้นที่ 36% แม้ว่าไตรมาส 1/2557 จะปรับลดลงเหลือ 29% แต่เป็นไปตามฤดูกาล ที่โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทจะเปิดขายในช่วงปลายปี จึงมั่นใจว่าในปีนี้กำขั้นต้นจะเติบโตไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา
"หลังจากที่ได้เงินจากการระดมทุนเข้ามา เราจะนำไปใช้ขยายโครงการใหม่ทันที ซึ่งขณะนี้ได้ดูที่ดินไว้หลายแปลง หลังจากนี้จะเริ่มดำเนินการซื้อที่ดินและทำตามขั้นตอนทันที เพื่อให้ผลประกอบการเติบโตต่ออย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้บริษัทก้าวไปสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ 1 ใน 20 ของประเทศภายในระยะเวลา 10 ปี โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ประมาณ 706 ล้านบาทจะนำไปลงทุนในโครงการใหม่ทั้งหมด โดยไม่มีการแบ่งไปชำระหนี้แต่อย่างใด”
ขณะนี้ RICHY มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,300-1,400 ล้านบาท โดยในปีนี้จะรับรู้ยอดโอนจากคอนโดมิเนียม 80-90% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากนั้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการรับรู้รายได้จากโครงการริชพาร์ค@เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท ขณะนี้มียอดจองแล้วกว่า 50% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่มีรายได้อยู่ที่ 1,205.92 ล้านบาท นอกจากนี้จะยังมีโครงการใหม่คือ เดอะริชวิลล์ ราชพฤกษ์ เป็นโครงการบ้านทรงอิสระ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ดังนั้นจากปัจจัยพื้นฐานดังกล่าว และแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้น RICHY จึงเชื่อมั่นว่าหุ้นน้องใหม่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯไปแล้ว

*** โชว์กำไรปี 56 ทะลุ 200 ลบ.
บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY แจ้งผลการดำเนินงานงวกไตรมาส 1/57 มีกำไรสุทธิ 5.70 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.01 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.68 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.19 บาท ขณะที่ผลประกอบการปี 56 มีกำไรสุทธิ 211.33 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.57 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 66.17 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.33 บาท

*** กูรูให้ราคาพื้นฐานหุ้นละ 6.41 บาท-ปี 59 รายได้แตะ 3 พันลบ.
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ได้ทำการประเมินปัจจัยพื้นฐานของ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 6.41 บาท ซึ่งเป็นการประเมินจากวิธีคิดลดกระแสเงินสดจากส่วนผู้ถือหุ้น โดยให้ Terminal Multiple ที่ 8.5 เท่า ณ สิ้นปี 2559 เทียบกับ Trading Multiple ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 8-16 เท่า และคิดส่วนลดของต้นทุนของหุ้นสามัญและกำไรสะสมทำให้ได้ราคาดังกล่าว
ทั้งนี้ประเมินจากปัจจัยพื้นฐานที่พบว่าเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่มีความโดดเด่น เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการตั้งอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าในรัศมีไม่เกิน 100 เมตร และบริษัทมีความสามารถในการบริหารต้นทุนและเวลาในการก่อสร้าง เนื่องจากผู้บริหารและทีมงานมีประสบการณ์การบริหารงานที่ยาวนาน ก่อนที่จะมาก่อตั้งบริษัทและเปิดดำเนินการมาแล้ว 12 ปี
นอกจากนี้อัตราการขายของแต่ละโครงการอยู่ในระดับสูงกว่า 80-90% ขึ้นไป และมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยจากปี 2555-2556 ที่ 37.7% และกำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 16.9% แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหาทำเลที่มีศักยภาพ และการควบคุมต้นทุนก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างเสร็จก่อนกำหนด
ทั้งนี้ ได้ประมาณการรายได้จะเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2559 จากปี 2556 ที่มีรายได้ 1,200 ล้านบาท โดยหลังจาก IPO ประมาณการฐานเงินทุนปี 2558 อยู่ที่ 1,500-2,000 ล้านบาท คาดอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ 56% ในช่วง 3 ปี ข้างหน้า แม่ว่าจากขนาดที่ขยายขึ้น บริษัทก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าวัสดุก่อสร้างตามมา



 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com