รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนในการซื้อขายวันนี้ หลังนักลงทุนต่างชาติต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสกุลเงินบาทมากขึ้น หลังมีความเชื่อมั่นว่า การใช้จ่ายภาครัฐจะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว

โดยอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 0.3% มาอยู่ที่ 31.828 บาท/ดอลลาร์ สูงสุดนับแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน ขณะที่ในเดือนนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 1.9% ทำให้เงินบาทเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ 24 สกุลเงิน

นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า เศรษฐกิจไทยอาจกลับมาขยายตัวได้ในอัตรา 5%-6% หลังนโยบายลงทุนของไทยมีความชัดเจนมากขึ้น และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะมีความต่อเนื่อง ประกอบกับภาคส่งออกเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว หลังยอดส่งออกเดือนที่ผ่านมาขยายตัว 7.2%

"ดูเหมือนว่า คสช.จะสามารถทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น มาตรการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภคกำลังดำเนินไปอย่างผลมากขึ้น นั่นจึงทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดกลับฟื้นขึ้นมา" นายโจนาธาน คาเวนักนักกลยุทธ์ที่เวสท์เปคแบงกิ้งคอร์ปกล่าว

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย 331.6 ล้านดอลลาร์วานนี้ ทำให้ในเดือนนี้มีเงินทุนไหลเข้าทั้งสองตลาดแล้ว 3.31 พันล้านดอลลาร์



- เงินเพิ่มทุน TRUE ไหลเข้าอีก 890 ล้านดอลลาร์

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าต่อในช่วงเดือน สิงหาคม 2557 เนื่องจากสาเหตุ จะมีเงินเพิ่มทุนของ หุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ TRUE เข้ามาอีกประมาณ 890 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทแข็งส่งผลให้กดดัน Sentiment การ Trading หุ้นกลุ่มส่งออก โดยทำให้รายได้และอัตรากำไรที่แปลงจาก US$ เป็นบาทน้อยลง หุ้นกลุ่ม/หุ้นที่เราทำการวิเคราะห์และอยู่ในข่ายที่อาจถูกกระทบในทางลบ คือ CPF, GFPT, TUF, DELTA, KCE, HANA และ SVI เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโดยพื้นฐานของธุรกิจของหุ้นดังกล่าวมีความแข็งแกร่งอยู่แล้วทั้งในด้านคำสั่งซื้อจากลูกค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาได้ดีและทันกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม

รวมทั้งโดยปกติแล้ว ไตรมาส 3 เป็นฤดูกาลส่งออก (High Season) ดังนั้นการแข็งค่าของเงินบาทจึงไม่ได้เป็นปัจจัยลบที่รุนแรงมาก แต่ก็กดดัน Sentiment การลงทุนโดยเฉพาะแบบ Trading ในเชิงกลยุทธ์ จึงอาจต้องมีการชะลอ/ลดพอร์ตการลงทุนลงบ้าง แล้วซื้อกลับเมื่อราคาอ่อนตัว แต่สำหรับคนที่มีหุ้นต้นทุนไม่สูงและมีเป้าหมายลงทุนระยะกลาง-ยาวก็สามารถถือต่อได้



- 6 หุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาท

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ระบุหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง โดยทุกๆ 1% ที่มีการแข็งค่าของเงินบาท จะมีผลต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) มีดังนี้

หุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI จะมีผลต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) มากกว่า 10%

หุ้นบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL จะมีผลต่อ EPS ที่เพิ่มขึ้น 5.5%

หุ้นบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK จะมีผลต่อ EPS ที่เพิ่มขึ้น 4%

หุ้น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO จะมีผลต่อ EPS ที่เพิ่มขึ้น 3.7%

หุ้นบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV จะมีผลต่อ EPS ที่เพิ่มขึ้น 3%

หุ้นบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU จะมีผลต่อ EPS ที่เพิ่มขึ้น 2%