นายยาซูฮิโกะ คอนโดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายธุรกิจปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% มั่นใจว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทยในปัจจุบันน่าจะจบภายในไตรมาสสองของปีนี้ ในฐานเป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนานกว่า 20 ปี มองว่า ประเทศไทยยังคงน่าลงทุน แม้ว่าจะมีปัญหาทางการเมืองเข้ามากระทบอยู่บาง แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่แค่ครั้งแรก และปัญหาการเมืองครั้งนี้ เชื่อว่า ไม่กระทบต่อตัวบริษัทและนักลงทุนต่างชาติกลุ่มอื่น นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักการเข้าลงทุนเพื่อสร้างผลกำไรในระดับสูง

ดังนั้น ปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อในขณะนี้ บริษัทไม่จำเป็นต้องชะลอการลงทุนหรือเน้นลงทุนในประเทศอื่น ล่าสุด บริษัทได้ปรับแผนทางการตลาดเพื่อเพิ่มยอดบัตรใหม่บริษัทปีนี้เป็น 800,000-900,000 บัตรจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 700,000 บัตร ขณะที่ฐานลูกค้ามีทั้งสิ้น 7 ล้านราย ด้านยอดสินเชื่อคงค้างของบัตร หรือ Outstanding ช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7 ล้านใบ คาดว่า ปีนี้น่าจะเกิน 7 ล้านใบ

การเพิ่มฐานบัตรใหม่ในปีนี้ บริษัทยังคงเน้นกลุ่มเด็กที่พึ่งจบใหม่รวมถึงลูกค้าที่อยู่ในต่างจังหวัดมากขึ้น ในสัดส่วนลูกค้าต่างจังหวัดที่ 60% กรุงเทพมหานคร 40% ทั้งนี้ เชื่อว่าสัดส่วนดังกล่าวสามารถทำกำไรให้กับบริษัท เนื่องจากความต้องการบัตรและสินเชื่อส่วนบุคคลในต่างจังหวัดยังมีอยู่มาก โดยเน้นลูกค้าที่มีรายได้ประจำเป็นหลัก เพื่อควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 1% พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมเปิดสาขาเพิ่มจาก 116 สาขาเป็น 120 สาขาภายในปีนี้



นักวิเคราะห์บล.เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น AEONTS โดยมองว่า การที่อิออนวางฐานทางการตลาดต่อเนื่องมากกว่าเน้นการเติบโตแรงๆ อย่างการกระตุ้นใช้จ่ายผ่านบัตร โดยการออกแคมเปญโฆษณาและจัดทำโปรโมชั่นต่างๆ ร่วมกับพันธบัตรคู่ค้าชั้นนำที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก ร้านอาหาร สื่อสาร และขนส่งมวลชน และเน้นลูกค้าต่างจังหวัด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนประเทศและตามหัวเมืองต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่ขยายเครือข่ายสาขาอีก 5 แห่ง และเพิ่มจำนวนเครื่องเบิกและชำระเงินสดอัตโนมัติ (ATM) เครื่องภายในปีนี้ ส่วนประเด็นเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ ยังเห็นผลกระทบน้อยจากการคัดหนี้สูญเชิงรุก อีกทั้งฐานลูกค้า ส่วนใหญ่เป็นพนักงานประจำที่มีรายได้สม่ำเสมอ ซึ่งแทบไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยจากกปัญหาโครงการรับจำนำข้าว หรือราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ

ส่วนธุรกิจให้บริการสินเชื่อในต่างประเทศ ภายใต้บริษัทย่อยในประเทศกัมพูชา เวียดนาม พม่า และลาว โดยกัมพูชาและเวียดนามสามารถสร้างกำไรที่ดีแล้วในปัจจุบัน ส่วนพม่าละลาวยังเป็นช่วงเริ่มต้นธุรกิจ แม้ยังคงเห็นการขาดทุนในระยะ 2 ปีนี้ และการเตริบโตที่ล่าช้า แต่ระยะยาวหวังในเรื่องการสร้างฐานธุรกิจเพื่อให้ครอบคลุมประเทศในกลุ่ม CLMV มากกว่า

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการปี 57 ปี 58 และปี 59 ภายใต้การเติบโตของกำไรสุทธิที่ 3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีต่อปี และ 9% โดยปัจจัยขับเคลื่อนที่ช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจยังเน้นไปที่ธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะกัมพูชา จากกำหนดการเปิดห้าง AEON Mall ในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อธุรกิจอิออน ในฐานะที่เข้าไปเป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ารายย่อยในห้างค้าปลีกของกลุ่มฯ ซึ่งจะช่วยหักล้างผลกระทบจากธุรกิจในประเทศที่ยังชะลอตัว

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำ “ซื้อ” AEONTS ราคาเป้าหมายที่ 121 บาท ด้วยคาดการณ์ ROE ที่ 23.5% ซึ่งยังมีอัพไซด์อีกประมาณ 30% โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ต่ำกว่า 8.7 เท่า และสามารถคาดหวังเงินปันผลเฉลี่ย 4-5% โดยจ่ายปีละ 2 ครั้ง



ด้านบล.ทรีนีตี้ มองว่าราคาหุ้น AEONTS ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ คิดเป็น Forward PER เพียง 7.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 54 ขณะที่ยังคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 118 บาท อิงระดับ PER 10 เท่า มี Upside สูง พร้อมคาด Div. Yield อีกประมาณ 3-4% ทำให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 118 บาท/หุ้น



ขณะที่บริษัทรายงานกำไรไตรมาส 4/57 (21 พ.ย. 56 – 20 ก.พ. 57) มีกำไรสุทธิ 607 ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน จากรายได้หนี้สูญได้รับคืนลดลง และมีการตั้งสำรองเพิ่มมากขึ้น แต่ยังเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ

สำหรับงบปี AEONTS มีกำไรสุทธิ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 48% จากปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยที่เติบโตสูงตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ในปี 57 AEONTS สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นถึง 21% เทียบกับปีก่อน

นอกจากนี้บริษัทได้ ประกาศจ่ายปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 21 ส.ค. 56 ถึงวันที่ 20 ก.พ. 57 เป็นเงินสด จำนวน 1.85 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 6 พ.ค. 57 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 มิ.ย. 57