March 29, 2024   7:40:20 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตอกฝาโลงหุ้นอสังหาฯ
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 19/10/2005 @ 19:02:33
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตอกฝาโลงหุ้นอสังหาฯ
ด้วยตะปู ดบ.ของธปท.
*วงการ ชี้ กระทบจิตวิทยาลงทุนแน่ ส่วนยอดขายเห็นผลชัดปี49[/color:a4474cfa1e">


ธุรกิจ-หุ้นอสังหาฯ เดือดร้อนอีกปัจจัยลบตามกระหน่ำหลังราคาน้ำมัน
พุ่ง ศก.ชะลอตัวแนวโน้มดบ.ขาขึ้น ล่าสุดธปท.ขึ้นR/P 14 วันอีก 0.50%
เท่ากับตอกย้ำมากกว่าเดิม แม้วงการมองอาจกระทบแค่จิตวิทยาลงทุน ส่วนยอดขายนั้นคาดไม่กระทบหนัก เหตุลูกค้าอาจรีบตัดสินใจซื้อบ้านและล่าสุดหลายโครงการยอดจองยังล้น แต่จับตาปีหน้าได้รับผลกระทบชัดเจนแน่ แนะ
ลงทุนเป็นรายตัวคือ MK-SPALI ด้านตลท.ยังมองแง่ดี ดบ.ขึ้นไม่กระทบบจ. เพราะหนี้สินต่อทุน ส่วน LPNเจอหลายเด้งวานนี้ ประกาศหยุดโครงการ ลุม
พินี วิลล์ฯหลังถูกฟ้องร้องที่ดินมีปัญหาฉุดหุ้นรูดหนักพาทั้งกลุ่มร่วงตามดึง
ดัชนีกลุ่มลงกว่า 2.26%

วานนี้ (19 ต.ค.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ของธนาคาร
แห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรืออัตรา
ดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร(อาร์/พี) 14 วัน ขึ้นอีก 0.50% เป็น 3.75%
หลังจากการประชุมเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ได้ปรับขึ้นในระดับ0.50% เช่นเดียวกันแต่การขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวก็ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์ของทั้ง
นักวิชาการ นายธนาคารหลังจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อทั่วไป
ในประเทศพุ่งสูงถึง6%
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสรียรภาพการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สาเหตุที่กนง.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดัง
กล่าวเป็นผลมาจากในไตรมาสที่3 ของปี 2548 อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงแต่การส่งออกขยายตัวดีขึ้น ประกอบกับผลผลิตทางการเกษตรเริ่มฟื้นตัวส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน คณะกรรมการฯประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีความสามารถที่จะขยายตัวได้ต่อไปจากแนวโน้มการส่งออกและการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน
ส่วนแรงกดดันต่อเสถียรภาพภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อ
ทั่วไปเร่งตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวในเกณฑ์สูงและอาจเร่งตัวเกินช่วงเป้าหมายของนโยบายการเงินในปี2549 อย่างไรก็ดีเสถียรภาพต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากแนวโน้มการชะลอตัวของการนำเข้า ประกอบกับการเร่งตัวของการส่งออก ซึ่งส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา
เนื่องจากคณะกรรมการเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและปัจจัยลบเริ่มคลี่คลาย แต่ปัจจัยเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะเร่ง
ตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงควรอยู่ใน
ทิศทางขาขึ้นต่อไปเพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอันจะเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตามคณะกรรมการฯเชื่อว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในอัตราร้อยละ 0.50ในครั้งที่แล้วและครั้งนี้น่าจะช่วยดูแลแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงขึ้นในไตรมาสที่4 ของปีนี้ได้ดีขึ้น



*มองแมวโน้มดบ.ยังขาขึ้น คาดเงินเฟ้อQ4/48 จะสูงขึ้นมาก
นายบัณฑิต กล่าวว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะยังอยู่ในทิศ
ทางที่เป็นขาขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 4 ที่จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้คาดว่าใน
ไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2549 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงหากราคาน้ำมันไม่
มีการเปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันมากนัก



*คาดปี 49 เงินเฟ้อพื้นฐานมีโอกาสสูงเกินเป้าหมาย 3.5%
นายบัณฑิต กล่าวว่า ในปี 2549 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจจะเกิน
กรอบ 3.5% ที่ได้เป้าไว้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ไม่แน่นอนในปี 2549
ด้วยซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงส่งผลกระทบกับต้นทุนการ
ผลิตซึ่งสะท้อนมายังเงินเฟ้อพื้นฐาน
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่ผู้บริหารธปท.จะเปิดเผยว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะเกิน 3.5% ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้นั้น นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวว่ารัฐบาลจำเป็นจะต้องติดตามดูแลการขยายตัวของ
เงินเฟ้อพื้นฐานอย่างใกล้ชิด เพราะถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญมาก โดยปัจจุ
บันยอมรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 2.3% อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงแต่ยังสา
มารถควบคุมได้แต่หากขึ้นไปเกิน 3.5% เมื่อใดจะอยู่ในระดับที่อันตรายมาก
ซึ่งกระทรวงการคลังและธปท.จะต้องหามาตรการมาแก้ไขเพื่อสกัดกั้นเงิน
เฟ้อต่อไป
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่อยู่
ในระดับ 2%เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนปัจจุบันมาอยู่ที่ 3.75%ซึ่งถือว่า
อยู่ในระดับเดียวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
หรือเฟดไปแล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเรื่องของเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากอัตราผลตอบแทนไม่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นครั้ง
นี้นั้นกลุ่มธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ต้องหนาวๆร้อนๆมากที่สุดก็คือธุรกิจอสังหา
ริมทรัพย์เพราะรู้อยู่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นหรือลงนั้นมีผลต่อยอดขายของอสังหาฯโดยตรง หากดอกเบี้ยต่ำยอดขายก็เพิ่มตามกำลังซื้อที่เพิ่มแต่เมื่อใดที่
อัตราดอกเบี้ยกำลังไต่ระดับขึ้นกำลังซื้อของประชาชนก็จะลดลงเนื่องจากภา
ระการผ่อนชำระจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งเมื่อผสมกับภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงชะลอ
ตัวราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่องที่ส่งผลต่อต้นทุนการก่อสร้างของอสังหาฯด้วยแล้ว จึงกลายเป็นสารพัดปัจจัยลบที่กระหน่ำธุรกิจอยู่ในขณะนี้ และยิ่งการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยล่าสุดของธปท. ที่ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นตามนั้นผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ รวมไปถึงหุ้น
ในกลุ่มอสังหาฯก็จะได้รับผลตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคาดว่าในการประชุมกนง.ครั้งหน้าวันที่ 14 ธันวาคมนี้จะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก



*วงการ ยัน ดบ.ขึ้นไม่กระทบอสังหาฯ ปีนี้ แต่ปี 49 เห็นภาพชัดเจน
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้จัดการส่วนวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. 0.50% มาอยู่
ที่ 3.75%คงไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ในช่วงไตรมาสที่3/2548 และไตรมาสที่ 4/2548 เนื่องจากหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีงานในมือซึ่งสามารถทยอยรับรู้รายได้เข้ามาภายในช่วงครึ่งปี
หลัง
ไตรมาส 3 และ 4ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยัง
คงดีอยู่แม้ธปท.จะปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึง 0.50 % ก็คงไม่ส่งผลกระทบ
ซึ่งผลกระทบที่เกิดจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นของกลุ่มอสังหาฯน่าจะเห็น
ได้อย่างชัดเจนในปี2549 นางสาววิชชุดา กล่าว
สำหรับภาพรวมของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในปี 2548ยังคงมีแนวโน้ม
ที่ดีแต่การเติบโตของกลุ่มดังกล่าวจะต้องขึ้นอยู่กับกำลังซื้อและความต้องการของผู้บริโภครวมทั้งการจัดการบริหารของผู้ประกอบการด้วย อย่างไรก็ตามการปรับเพิ่มดอกเบี้ยอาร์พี 14 วัน ของธปท.อาจเป็นได้ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบต่อกลุ่มอสังหาฯ
การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธปท.อาจจะทำให้ผู้ซื้อเร่งซื้อบ้านในช่วงที่ดอกเบี้ยยังไม่เพิ่มก็ได้แต่อีกทางหนึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสิน
ใจซื้อบ้านออกไปหรือก็หันไปซื้อบ้านที่มีราคาถูกลงนางสาววิชชุดา กล่าว
เพิ่มเติม
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนหุ้นราคาถูก พื้นฐานดี ซึ่งควร
เลือกลงทุนเป็นรายตัว เช่น หุ้นของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) (MK)และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI)เป็นต้น
ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวถึงกรณีเดียว
กันว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์คงไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริ
โภคยังคงมีอยู่ประกอบกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยยังเป็นช่วงเริ่มต้นซึ่งในอนาคตอัตราดอกเบี้ยยังคงมีแนวโน้มปรับเพิ้มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กรณีดัง
กล่าวอาจจะส่งผลลบต่อจิตวิทยาการลงทุน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนในหุ้นเป็นรายตัวที่มีปัจ
จัยพื้นฐานดี โดยเฉพาะในหุ้นที่ผู้ประกอบการเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางและ
ระดับล่างเนื่องจากโครงการต่างๆคงจะขายได้ดีกว่าผู้ประกอบการที่เน้นลูกค้า
ในระดับสูง
ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์
บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวจะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนใน
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอนเพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และ
เงินฝากน่าจะมีการปรับตัวขึ้นตาม ประกอบกับขณะนี้ตลาดฯมีความผันผวนจึง
ส่งผลให้มีแรงขายในตัวหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งนี้หากดัชนีโดยรวมหลุด
แนวรับที่684 จุด ถือว่าจะอันตรายเพราะแนวรับนี้ถือเป็นแนวรับสุดท้าย
แต่ทั้งนี้คาดว่าจะไม่กระทบยอดรายได้หรือยอดการจองและการซื้อ
ขายบ้านอย่างแน่นอนเพราะขณะนี้ยอดการจองบ้านของบางบริษัทมีล้นแล้ว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์แนะให้เลือกซื้อเป็น
รายตัวที่มีผลประกอบการดีโดยแนะในหุ้น SPALI และ LPN



* ตลท.เผยธปท.ขึ้นดอกเบี้ยอาร์/พีอีก0.5% ยันไม่กระทบบจ. เหตุมีหนี้ต่ำ
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประ
เทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. อีก 0.50%
ถือว่าเป็นระดับที่ไม่สูง และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็รับรู้อยู่แล้วว่า สถานการณ์
ดอกเบี้ยในขณะนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ประเด็นดังกล่าวก็ไม่ใช่ปัจจัย
บวกกับตลาดหุ้น
อย่างไรก็ดีเชื่อว่าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบ
กับบริษัทจดทะเบียนเพราะมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า และนักลงทุน
ก็ตัดสินใจว่าผลตอบแทนการลงทุนแบบไหนคุ้มค่าที่สุด


* LPN ฉุดหุ้นอสังหาฯร่วง หลังระงับโครงการ ลุมพินี วิลล์ฯ
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ปรากฎว่า บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) แจ้งว่าจำเป็นต้องหยุดการดำเนินโครงการลุมพินี วิลล์
รัชดา ลาดพร้าว เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเรื่องการ
รวมโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจึงขอ
ให้บริษัทฯระงับการก่อสร้างไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
โดยนายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอล.พี.เอ็น.
ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวกับefinancethai.com ว่าจำ
เป็นต้องหยุดการดำเนินโครงการลุมพนี วิลล์ รัชดา ลาดพร้าว หลังจากถูก
ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองแต่ทั้งนี้บริษัทฯไม่ได้บรรจุแผนการก่อสร้างโครง
การนี้ไว้ในแผนงานประจำปี2548 และการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯเป็นไป
ตามเป้าหมายที่วางไว้ทุกโครงการ ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนิน
งานของบริษัท
ที่จริงโครงการนี้เราวางแผนจะสร้างตั้งแต่ 2 ปีก่อน แต่ตอนนี้ก็มีปัญ
หาเรื่องสิ่งแวดล้อม LPN ก็ดำเนินการขออนุญาตจนได้รับอนุมัติ และกำลังจะ
ก่อสร้างก็มีปัญหากับกลุ่มคนในชุมชนซึ่งได้ไปฟ้องร้องกับศาลปกครองจึงขอพับโครงการนี้ไว้ก่อน สำหรับลูกค้าที่จ่ายเงินจองสามารถที่จะมาขอรับเงินคืน
ได้ตลอดเวลาและผมเชื่อว่าไม่มีปัญหา เพราะเราแจ้งลูกค้าให้ทราบถึงปัญหา
ที่เกิดขึ้นไปตั้งนานแล้ว
เขากล่าวต่อว่า ตามแผนงานที่วางไว้ โครงการ ลุมพินี วิลล์ รัชดา ลาดพร้าว มีมูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท และที่ผ่านมาสามารถขาย
โครงการได้หมด 100%แต่จากที่มีปัญหาก็ได้ชี้แจงและคืนเงินให้กับลูกค้า
ไปแล้วกว่า 90%เหลืออีกประมาณ 10% หรือประมาณ 50-60 ราย ซึ่งสา
มารถติดตอขอรับเงินได้ตลอดเวลา โดยลูกค้าจะได้รับเงินต้นบวกดอกเบี้ย
3%
นายทิฆัมพร ยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนปี 2548
คาดว่าจะมียอดขายเกิน 6,000 ล้านบาท และคิดเป็นยอดรับรู้รายได้ประมาณ
2,000 ล้านบาท จากทั้งปีที่คาดว่าจะมียอดขายเกิน 7,000 ล้านบาท และ
ยอดรับรู้รายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้หากแบ่งเป็นผลการดำเนินงานเฉพาะงวดไตรมาส 3/48 คาดว่าจะ
มียอดรับรายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
โดยหุ้นของ LPN เมื่อวานนี้ หลังจากมีข่าวดังกล่าวออกมา ประกอบกับข่าวเรื่องอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง โดยปิดที่ 3.24 บาท
ลดลง 0.10 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 80.27 ล้านบาท นอกจากนี้หุ้นกลุ่ม
อสังหาฯตัวอื่นก็ปรับลดลงเช่นกัน อาทิเช่น LH ปิดที่ 7.60 บาท ลดลง 0.40 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 239.42 ล้านบาท หุ้น QH ปิดที่ 1.15 บาท ลดลง 0.02 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 2.93 ล้านบาท หุ้น AP ปิดที่ 3.60 บาท ลดลง 0.06 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 4.37 ล้านบาท ฯลฯ ส่วนดัชนีกลุ่มอสังหาฯปิด
ที่ระดับ107.28 จุด ลดลง 2.49 จุด หรือ 2.2684% มีมูลค่าการซื้อขาย 1,075.22 ล้านบาท



* แบงก์มอง ขึ้นดบ. 0.50% เป็นตามคาด/ประเมินประชุมเดือนธ.ค.ขึ้นอีก
นายเผด็จ พิรุฬห์สิทธิ์ หัวหน้าทีมการตลาดผลิตภัณฑ์การเงินด้านบริหารเงินธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BT กล่าวว่า การปรับ
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธปท. เป็นไปตามที่คาดการณ์เนื่องจาก ธปท.ต้องดูแลเรื่องอัตราเงินเฟ้อจึงได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย0.50%
ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะต้องติดตามดูอัตราดอก
เบี้ยในตลาดและธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ด้านนางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท.เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ
พื้นฐานที่อยู่ใกล้เคียงกับเป้าหมายของทางการ และยังเป็นการรักษาเสถียร
ภาพของค่าเงิน เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ทำให้อัตราดอกเบี้ย
ของไทยเท่ากับดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ในการประชุม กนง.เดือนธันวาคมคาดว่า ธปท.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อีก 0.25% ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์น่าจะมีการทยอยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องนางสาวอุสรา กล่าว

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com