April 17, 2024   2:43:35 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > มองข้ามช็อตซื้อแล้วเฮง
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 06/10/2005 @ 19:08:40
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ก้องเกียรติ ชี้ช่องรวย ส่งซิกหุ้นชิ้นส่วน-ยานยนต์มีแววรุ่ง หลังพลังงานหมดเสน่ห์ ย้ำหุ้นปีหน้าเล่นยาก อยากรวยต้องเล็งรายตัว หากเล่นตาม SET มีหวังเจ๊ง ขณะที่สมาคมนักวิเคราะห์สำรวจความเห็นสมาชิก 22 โบรกเกอร์ คาดดัชนีสิ้นปี 752 จุด ปีหน้า 819 จุด มองอัตราเติบโต EPS ลดลง เหตุต้นทุนดอกเบี้ย-น้ำมันเพิ่มขึ้น ด้านบิ๊ก บล.กสิกรไทย ชี้ตลาดรอข่าวดี 2 หุ้นยักษ์ เบียร์ช้าง-กฟผ. เข้าตลาด หากไม่เป็นไปตามแผนกดหุ้นสิ้นปีซึมอีกรอบ [/color:9b5b857043">


หุ้นปีนี้หลายคนว่าเล่นยากแล้ว แต่ปีหน้าเตรียมใจได้เลยว่าเล่นยากกว่า และอย่าหวังว่าจะได้เห็นหุ้นขาขึ้น ชนิดที่ว่าจิ้มตัวไหนเป็นได้กำไรเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้นการเลือกหุ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะบ่งบอกถึงความสำเร็จในการลงทุน ได้รวบรวมหลากหลายคำแนะนำ และการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ และดัชนีตลาดหุ้น จากบุคคลที่ต้องจัดอยู่ในชั้น เซียน
ทั้ง นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ผู้คร่ำหวอดในวงการหลักทรัพย์มานาน และมองข้ามช็อตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ที่เป็นศูนย์รวมความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ที่เป็นสมาชิกถึง 22 โบรกเกอร์ รวมไปถึง บล.กสิกรไทย ที่แม้จะเป็นโบรกเกอร์น้องใหม่ แต่การอยู่ในเครือแบงก์กสิกรไทย ย่อมเป็นที่เชื่อถือได้ในฝีมือการมองภาพเศรษฐกิจ และท้ายสุดผู้บริหารคนใหม่ของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่เปิดวิสัยทัศน์และมุมมองต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยเป็นครั้งแรก

**ก้องเกียรติ ส่งซิกหุ้นชิ้นส่วน-ยานยนต์มีแววรุ่ง
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส (ASP) และประธานสภาตลาดทุน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ eFinancethai.com ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้จนถึงปีหน้าจะอยู่ในลักษณะประคองตัว โดยประเมินว่าปีนี้จีดีพีจะโตประมาณ 4% และปีหน้าโตประมาณ 5% ซึ่งถือว่าอยู่ระดับที่ดี ในภาวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และยังไม่เห็นข่าวร้ายที่น่าเป็นห่วง
สำหรับกรณีอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในขาขึ้น แม้ว่าจะส่งผลลบบ้างแต่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะในช่วงที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าความเป็นจริง และในการทำธุรกิจอัตราดอกเบี้ยแพงไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญ หากยังสามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น เรื่องดอกเบี้ยก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวล
นายก้องเกียรติ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์ว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกบ้าง โดยคาดว่าในปี 2549 ดัชนีน่าจะแตะระดับ 800 จุดได้ แต่หุ้นกลุ่มที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนดัชนีไม่ใช่หุ้นพลังงาน เพราะก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ในขณะที่มีแนวโน้มว่าราคาน้ำมันจะถดถอยลงจากการระบายสต๊อกของสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้มองว่าในปีหน้าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะดูยาก การเติบโตโดยรวมอาจไม่มากนัก แต่จะยังมีบริษัทจดทะเบียนที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมของรัฐบาล อย่างเช่น ธุรกิจยายยนต์ ที่ตอนนี้มีบางบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการทำ FTA ไทย-ออสเตรเลีย และสามารถเข้าไปเจาะตลาดได้แล้ว
รวมทั้งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ถือว่าจะมีแนวโน้มที่ดี จากตัวเลขบู๊ค ทู บิล ของอเมริกาที่ล่าสุดอยู่ที่ระดับมากกว่า 1 เท่า แสดงให้เห็นว่า มียอดขายเกินยอดส่งออก หรือมีความต้องการใช้มากกว่ายอดที่ผลิตได้ ดังนั้นปีหน้าจะเป็นวัฎจักรขาขึ้นของอิเล็กทรอนิคส์อีกครั้ง
นอกจากนั้นยังมีหุ้นในกลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว และ ไอซีที ซึ่งเป็นธุรกิจที่รัฐบาลให้การสนับสนุน
นายก้องเกียรติ ยังแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปีหน้าว่า เรื่องของ stock pick เป็นสิ่งสำคัญ คนที่เลือกหุ้นเป็นเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ชนะหรือ the winner ซึ่งจะทำให้ฝ่ายวิจัยของโบรกเกอร์มีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการหาหุ้นที่ยังเติบโตได้ดีให้กับนักลงทุน
ปีหน้าถ้าใครเล่นหุ้นโดยอิงตามดัชนีมีหวังขาดทุน เพราะหุ้นจะดูยากขึ้น ผลการดำเนินงานโดยรวมอาจไม่โตมากนัก แต่ก็จะมีหุ้นที่ยังคงเติบโตได้ ซึ่งคนที่เลือกถูกตัวเท่านั้นที่จะเป็น the winner นายก้องเกียรติกล่าว

**สมาคมนักวิเคราะห์เปิดผลสำรวจ 22 บล.มองหุ้นไทยปีหน้า 819 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า จากผลสำรวจนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ 22 แห่ง ในประเด็นการลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 พบว่าไตรมาส 4/2548 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเหมาะแก่การลงทุน โดยแม้ราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูงขึ้น รวมทั้งมีปัจจัยลบอื่นๆ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดฯหุ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนอยู่มาก โดยเฉพาะแนวโน้มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และบัญชีการค้าลดลง หุ้นใหญ่ที่รอเข้าตลาดฯทั้งในส่วนของ บมจ.ไทยเบฟเวอร์เรจ (เบียร์ช้าง) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) รวมถึงการไหลเข้าเม็ดเงินต่างประเทศ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นตัวแปรกระตุ้นการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 4/2548 นี้แนะนำให้นักลงทุนสะสมหุ้นพื้นฐานดี ปันผลเด่น โดยให้รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลดลงซึ่งจากการประเมินพบว่าหุ้นที่น่าสนใจให้น้ำหนักไปที่หมวดธนาคาร พลังงาน และสื่อสาร โดยหุ้นเด่น 5 อันดับ ประกอบด้วย KBANK,BBL,TOP,PTT และ ADVANC ส่วนหุ้นที่แนะนำให้ชะลอการลงทุน ประกอบด้วยหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี อสังหาฯ และพลังงานบางตัว
เขากล่าวต่อว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีหน้าจะสามารถปรับตัวขึ้นไปสูงสุด 819 จุด จากปีนี้ที่ให้เป้าหมายที่ 752 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจจะดีขึ้นโดยตัวเลขจีดีพีมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.7% จาก4% ในปีนี้ ขณะที่ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดในปีหน้าก็มีแนวโน้มจะขาดดุลลดลงเหลือเพียง 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีนี้ที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ( EPS) ปีหน้าลดลงเหลือเพียง 6.8% จากปีนี้โต 10.5% หลังจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรง สะท้อนให้บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เริ่มมีการชะลอการลงทุน ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานยังสูงอยู่จากผลกระทบจากราคาน้ำมัน โดยการที่บริษัทไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ

**บิ๊ก บล.กสิกร ชี้หาก เบียร์ช้าง-กฟผ.ผิดแผนหุ้นซึมอีกรอบ
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย (KSEC) กล่าวกับ efinancethai.com ว่า ตลาดหุ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้อยู่ในภาวะรอข่าวดี ในขณะที่ปัจจัยที่เข้ามากระทบยังเป็นเรื่องเดิมไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือดอกเบี้ย ซึ่งตลาดได้รับรู้ไปหมดแล้ว ซึ่งข่าวดีที่ตลาดรออยู่ก็คือหุ้นขนาดใหญ่ 2 ตัวคือ เบียร์ช้าง และ กฟผ. ที่จะเข้ามาทำให้มาร์เก็ตแคปของตลาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นถ้าหุ้นทั้ง 2 ตัวสามารถเข้าตลาดปีนี้ได้ตามที่คาดไว้ดัชนีก็ยังมีโอกาสไปต่อ โดยบล.กสิกรมองเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 770 จุด ซึ่งมีโอกาสจะไปถึง
อย่างไรก็ตาม หากเบียร์ช้างและ กฟผ. ไม่สามารถเข้าซื้อขายได้ตามเป้าหมาย อาจเป็นผลให้ตลาดหุ้นไทยซึมลงบ้าง แต่โดย ภาพรวมแล้วตลาดยังมีความน่าสนใจอยู่ ภาพรวมเศรษฐกิจแม้จะชะลอตัวแต่ก็ยังไปต่อได้ ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน ไตรมาส 3/48 หลายบริษัทในบางกลุ่มอุตสาหกรรมมีแนวโน้มจะทำกำไรได้ดีกว่าคาด โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรสินค้าก็ยังขายได้ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต
ส่วนในปีหน้ามองว่าธุรกิจบางกลุ่มยังเติบโตได้ดี อย่างเช่น แบงก์บางตัวและอาหาร แต่อาจจะไม่หวือหวาเหมือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ในส่วนของตลาดหุ้นยอมรับว่าปีหน้าจะเล่นยากขึ้น และนักลงทุนจะต้องเลือกลงทุนมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้การลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีคือต้องเปิดใจกว้าง และสามารถลงทุนได้ในทุกตลาดไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน ตลาดทุน หรือตลาดตราสารหนี้ ซึ่งในส่วนนี้ลูกค้าของโบรกเกอร์ที่เป็นเครือข่ายของแบงก์จะได้เปรียบเพราะสามารถให้บริการลูกค้าได้ครบวงจร
นางสาวณัฐรินทร์ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนว่า ควรลงทุนในระยะกลาง-ยาว โดยเลือกลงทุนหุ้นปันผลเป็นหลัก

** KGI มองหุ้นยังเป็นขาขึ้น แบงก์-รับเหมาฯ-อสังหาฯยังน่าสน
นายวิลเลี่ยม ฟาง กรรมการอำนวยการคนใหม่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 4/48 ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การเข้าจดทะเบียนของบริษัท กฟผ. จำกัด(มหาชน)จะช่วยกระตุ้นภาวะการลงทุนประกอบกับราคาหุ้นไทยยังไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพราะมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคและทิศทางค่าเงินแถบภูมิภาคเอเชียยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าหนุนให้เงินจากต่างชาติไหลเข้ามาด้วย
อย่างไรก็ดี คาดว่าปีนี้ค่าพีอีตลาดหุ้นจะอยู่ที่ 9.3 เท่าอัตราการขยายตัวของกำไรต่อหุ้น(EPS) อยู่ที่ 11.24 % แต่ในปี 49ค่าพีอีตลาดหุ้นจะลดลงเหลือ 8.9 เท่าและอัตราการขยายตัวของกำไรต่อหุ้น( EPS)จะอยู่ที่ 2.74 % ซึ่งบริษัทมองเป้าหมายดัชนีตลาดไว้ที่ 780 จุด
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายๆตัวเริ่มจะดีกว่าครึ่งปีแรกโดยรายได้ภาคเกษตรและการผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มดีขึ้นขณะที่ตัวเลขดุลการค้าในครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรกเนื่องจากการนำเข้าน้ำมันเริ่มทรงตัว หลังรัฐบาลประกาศลอยตัวน้ำมันขณะเดียวกันการส่งออกในช่วงไตรมาส4/48ดีขึ้นเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของหลายๆธุรกิจเช่น ธุรกิจอิเลคทรอนิคส์
ทั้งนี้ ทางบริษัทมองว่ากลุ่มแบงก์น่าสนใจเนื่องจากจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการลงทุนของภาคเอกชนในปี49 จะส่งผลดีต่อความต้องการสินเชื่อ โดยแนะนำ BBL, SCB และ KBANK กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับผลดีจากโครงการ เมกะโปรเจกต์แนะนำ ITDและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพราะเชื่อวาความต้องการบ้านยังมีอยู่แม้ไม่มากนักซึ่งเป็นความต้องการจริง (Real Demand) ที่จะไม่ถูกกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นหุ้น LPN และ AP ยังน่าสนใจ

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com