March 29, 2024   1:57:08 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > EGCOMP หุ้นเติบโตสูง ราคาเป้าหมายอยู่ที่ ....
 

P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
วันที่: 17/08/2005 @ 11:28:50
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผลิตไฟฟ้า หุ้นเติบโตสูง ปันผลงาม ผู้บริหาร วิศิษฎ์ อัครวิเนค ลั่นโตยาว ระบุในช่วง 5-10 ปี ยังเติบโตเฉลี่ยที่ 7-10% ต่อปี ตามการกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น แย้มผลกำไรครึ่งปีหลังอาจชะลอตัว แต่นักลงทุนอย่างวิตก แค่หยุดบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ส่วนแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าเดินหน้าทุกโครงการ นักวิเคราะห์ประเมินหุ้น EGCOMP แกร่ง จากพื้นฐานล่าสุดราคาหุ้นเหมาะสมที่ 87-88 บาท

นายวิศิษฎ์ อัครวิเนค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCOMP เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 7- 10% ต่อปี ปัจจุบันบริษัทที่มีกำลังการผลิตที่ 2,414 เมกะวัตต์ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทได้มีการพัฒนาการเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2550-2551 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,400 เมกะวัตต์

สำหรับแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังอาจจะมีการปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ที่มีกำไร 2,339 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 นี้ โรงงานบางแห่งในเครืออาจจะต้องมีการปิดซ่อมบำรุงเครื่องจักร จึงไม่อยากให้นักลงทุนแปลกใจกับกำไรที่จะออกมาในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และก็ไม่อยากให้นักลงทุนกังวลจนเกินไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอัตราการเติบโตของรายได้จะยังคงทรงตัว เมื่อเทียบจากครึ่งแรกของปีนี้ที่มีรายได้ที่ 8,321 ล้านบาท ส่วนสถานการณ์การขาดแคลนน้ำภาคตะวันออกนั้น ขณะนี้บริษัทได้มีการลดกำลังการผลิตในบางส่วนไปบ้างแล้ว เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำให้ลดลง แต่ยืนยันว่าแม้ลดการผลิตบางส่วนลงก็ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท เนื่องจากมีสัญญากับทางกฟผ.ไว้

เดินหน้าลงทุนผลิตไฟฟ้าเพิ่ม

นายวิศิษฎ์ กล่าวต่อว่า ในครึ่งแรกของปีนี้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้น กำไรสุทธิที่ 2,339 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 4.45 บาทต่อหุ้น ซึ่งผลกำไรดังกล่าว และมีกำลังผลิตไฟฟ้าโดยรวมทั้งสิ้น 2,414 เมกะวัตต์ ซึ่งยังไม่รวมกำลังการผลิตจาก IPP ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาอีกสองโครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งบริษัทถือหุ้น 25% ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำด้วยกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ โดยได้มีการเบิกเงินกู้งวดแรกเป็นจำนวนเทียบเท่า 238 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 จากธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย พร้อมกลุ่มสถาบันทางการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์และองค์กรระหว่างประเทศ ได้ให้การสนับสนุนโครงการ คาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ.ได้ในครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยขายไฟให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์

ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 หรือโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่บริษัทมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 50% และมีกำลังการผลิต 1,468 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนข้อบังคับก่อน

สำหรับการเบิกเงินกู้ครั้งใหญ่งวดต่อไป จากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 และมีกำหนดการจ่ายค่าไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2550 และเดือนมีนาคม 2551 ต่อไป ด้านโครงการจีวายจี (กัลฟ์ยะลา กรีน) นั้นคาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ในวันที่ 1 เมษายน ปี 2549 หลังจากถูกปิดลงจากเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และมีกำลังการผลิตที่ 23 เมกะวัตต์ โดยใช้เชื้อเพลิงจากเศษไม้ยางพารา ที่มีมูลค่าโครงการที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ในการเตรียมเข้าประมูลโครงการผลิตโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ในปี 2554-2558 จำนวน 13,230 เมกะวัตต์ นั้น บริษัทคาดว่าโอกาสที่บริษัทจะได้เป็นผู้ดำเนินการมีกว่า 10% ของกำลังการผลิตโดยรวม เพราะเมื่อพิจารณาแล้วบริษัทมีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตไฟฟ้าเป็นอย่างดี และในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าเงินที่ใช้สำหรับลงทุนในโครงการดังกล่าวจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนแ ละการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมี D/E อยู่ที่ 3:1 ส่วนการจ่ายปันผลระหว่างกาลของบริษัทนั้น ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการในช่วงปลายดือน ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลดังกล่าว โดยคาดว่าจะจ่ายในระดับที่ 0.25 บาท ต่อหุ้น จากปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลที่ 3บาทต่อหุ้นซึ่งบริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลที่ 40% ของกำไรสุทธิ

แผนระยะยาวเพิ่มลงทุนต่างประเทศ

นายวิศิษฎ์ กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนระยะยาวที่จะขยายสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 30% และในประเทศที่ 70% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ 2 แห่ง ไม่ถึง 10% โดยปัจจุบันบริษัทก็เน้นการลงในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศลาว พม่า และกัมพูชา แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าวจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยของเงินที่จะนำมาลงทุนด้วย

ชี้พื้นฐานราคาหุ้นอยู่ที่87-88บาท

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKS เปิดเผยว่า EGCOMP ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2548 ออกมามีกำไรสุทธิลดลง 45% ส่วนหนึ่งมาจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามรายได้ของบริษัทยังเพิ่มขึ้น 2% ทั้งไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3,996 ล้านบาท

ดังนั้นยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจไฟฟ้าในประเทศ จากความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ปัจจัยที่น่าลงทุนใน EGCOMP มาจากประเด็นการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าที่จะมีการเปิดประมูลประมาณต้นปี 2549 เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการไฟฟ้าที่มองว่าน่าจะไม่พอต่อความต้องการในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทเองอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 3 โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของบริษัท จำนวนรวม 1,011 เมกะวัตต์

เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 4% โดยคาดว่าบริษัทน่าจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2548 ที่ 3.5 บาท/หุ้น จากคาดการณ์ผลประกอบการทั้งปี 2548 คาดน่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,184 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 9.87 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และได้ประเมินราคาที่เหมาะสมของบริษัทไว้ที่ 87 บาทต่อหุ้น

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า EGCOMP) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2548 ออกมามีกำไรสุทธิ 842 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.60 บาท ลดลง 24% สาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลงค่อนข้างมากมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 411 ล้านบาท หากตัดรายการดังกล่าวออกจะพบว่ากำไรปกติจากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลงเพียง 8% สาเหตุที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP)ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัทผลิตไฟฟ้าระยอง (REGCO) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม (KEGCO)ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,232 เมกกะวัตต์และ 824 เมกกะวัตต์ หรือคิดเป็น 85% ของกำลังการผลิตรวมที่ EGCOMP มีจำนวนทั้งสิ้น 2,414 เมกกะวัตต์ ลดลงเนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขาย ไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายโดยรวมก็สูงขึ้นกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น

จากการที่รายได้ของธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ลดลง 3.7% (91 ล้านบาท) แต่ก็ได้รายได้ของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่เพิ่มขึ้น 7.8% (91 ล้านบาท) มาชดเชย แต่ค่าใช้จ่ายของกลุ่ม IPP และ SPP กลับเพิ่มขึ้นถึง 3.4% และ 10.7% ตามลำดับก็เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงจาก 56% ในไตรมาส 2/47 เป็น 53% ในไตรมาสนี้ และยังส่งผลให้โดยรวมแล้วผลกำไรปกติจากการดำเนินงานของบริษัทจึงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงเชื่อว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2548 จะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่บริษัทสามารถทำกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในครึ่งปีแรกได้ 4,959 ล้านบาท หรือ 9.42 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 61% ซึ่งจากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งทำให้คาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ไม่ต่ำกว่า 1.50 บาท/หุ้นและจ่ายเงินปันผลทั้งปีได้ไม่น้อยกว่า 3 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 3.9%

อย่างไรก็ตามคาดว่าบริษัทจะทำกำไรสุทธิในปีนี้ได้ 4,644 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.83 บาท เติบโต 1.8% ราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ PER 8.8 เท่า, EV/EBITDA 4.7 เท่าและมี Upside อยู่ 14% จากราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ 88 บาท

ที่มา:
กระแสหุ้นรายวัน

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com