April 20, 2024   3:51:42 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > MBKฝ่าด่าน"หุ้นโตช้า"อีก7.5ปีหมดสัญญา/มาบุญครอง
 

?????????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 103
วันที่: 16/09/2005 @ 22:16:31
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เอ็ม บี เค (MBK) ปรับตัวครั้งใหญ่รุกธุรกิจ โรงแรม ต่อยอดธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เตรียมตัวก่อนจะหมดสัญญาบริหาร ห้างมาบุญครอง ในอีก 7.5 ปีข้างหน้า


บริษัท เอ็ม บี เค (MBK) เจ้าของศูนย์การค้า มาบุญครอง, โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส และ ข้าวสารถุงมาบุญครอง แต่หลังสุดบริษัทได้ขยายไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจตัวใหม่

จึงเป็นการพลิกธุรกิจครั้งสำคัญ ซึ่งมีการมองกันว่า อาจจะเป็นการเปิด เกมเสี่ยงครั้งใหม่ ของบริษัท ที่นำรายได้ไปผูกติดอยู่กับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจทำให้รายได้ ผันผวน ในอนาคต และธุรกิจนี้กำลังอยู่ในจังหวะ ขาลง หรือไม่...

ปัจจุบัน เอ็ม บี เค ดำเนินธุรกิจครอบคลุม 5 กลุ่มหลัก นอกเหนือจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้ามาบุญครองรวมถึงการเข้าร่วมลงทุนในโครงการสยามพารากอน จำหน่ายข้าวสารมาบุญครอง โรงแรมและธุรกิจสนามกอล์ฟ

ล่าสุดบริษัทกำลังต่อยอดไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายรอบๆ พื้นที่สนามกอล์ฟอีกด้วย

โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัท จะมาจากค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้ามาบุญครองราว 37-38% ข้าวสารมาบุญครอง 32% โรงแรม 18% สนามกอล์ฟ 2 % และธุรกิจอื่นๆ 11%

ในปี 2549 คาดว่ารายได้จากค่าเช่าศูนย์การค้ามาบุญครองจะเพิ่มเป็น 40% และคาดว่าในอีก 3 ปี สัดส่วนรายได้จากโรงแรมจะเพิ่มขึ้นมากจากการเปิดโรงแรมแห่งใหม่อีก 2 ปีครึ่งจาก 17-18% เพิ่มเป็น 25% ของรายได้รวม สุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค กล่าว

ปัจจุบันเอ็ม บี เค เป็นเจ้าของโรงแรม 3 แห่งประกอบด้วย โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพ, โรงแรมเชอราตัน กระบี่ รีสอร์ท จ.กระบี่ และโรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส จ.ระนอง โดยบริษัทมีแผนจะก่อสร้างโรมแรมแห่งใหม่ บนเกาะสมุย ขนาด 200 ห้อง บนเนื้อที่ 120 ไร่ ซึ่งการพัฒนาจะแบ่งออกเป็นหลายเฟส โดยเฟสแรกจะพัฒนาพื้นที่ 55 ไร่ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งจะคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในอีก 2 ปีครึ่งหรือราวปี 2550

ขณะเดียวกันก็หันมารุกธุรกิจ สนามกอล์ฟ และเชื่อมต่อไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยธุรกิจสนามกอล์ฟจะดำเนินงานโดย บริษัท คริสตัล เลค พร็อพเพอร์ตี้ ปัจจุบันมีโครงการ Loch Plam Golf Clup พื้นที่รวม 700 ไร่ บนหาดกระทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งได้ขายพื้นที่ไปแล้วบางส่วน แต่ยังเหลือที่ดินอีก 100 ไร่เพื่อพัฒนาต่อ

ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดดำเนินการโดยบริษัทแปลน เอสเตท บริษัทย่อยของบริษัท ซึ่งมีแผนพัฒนาโครงการในอนาคตหลายโครงการ

ที่ดินว่างเปล่ารอบสนามกอล์ฟราว 100 ไร่ จ.ภูเก็ต รวมกับที่ดินรอบสนามกอล์ฟแห่งใหม่บริเวณใกล้เคียงกัน อีกราว 300 ไร่ รวม 400 ไร่ เราเตรียมที่จะพัฒนาสร้างบ้านเพื่อขาย ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากการขายเข้าสู่บริษัทราวปี 2549 เป็นต้นไป สุเวทย์ กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ 4 โครงการ ได้แก่ คันทรี่ยาร์ด โฮม จำนวน 10 หลัง มูลค่าโครงการ 90 ล้านบาท รับรู้ยอดขายแล้ว 60 ล้านบาท โครงการการ์เด้นท์ วิลล่า 37 ยูนิต มูลค่า 335 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2549 แต่สามารถขายไปได้แล้วส่วนใหญ่ ยังเหลือเพียง 17 ยูนิตที่รอการขาย

นอกจากนั้น ยังมีโครงการนิว ทาว์นโฮม จำนวน 6 ยูนิต มูลค่า 75 ล้านบาท ได้ขายหมดเรียบร้อยแล้ว และสุดท้ายโครงการเลค ฟร้อนท์ จำนวน 5 ยูนิต มูลค่า 50 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้ว 10 ล้านบาท

หลักการในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเรา ก็คือ ไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างคนเดียว หากมีผู้สนใจร่วมลงทุนด้วยก็ได้ โดยบริษัทจะขายที่ดินให้ไปพัฒนา แต่เราจะลงทุนถนน ไฟฟ้าให้ เพื่อทำให้การพัฒนาโครงการให้รวดเร็วขึ้น โดยบริษัทจะแบ่งรายได้ 50%จากโครงการ

ไม่เพียงเท่านั้น ในอนาคตยังมีพื้นที่ใน จ.ปทุมธานี ราว 800 ไร่ ติดกับโรงสีข้าว และพื้นที่โรงสีข้าวเดิมอีก 70 ไร่ รอเตรียมพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยก่อสร้างเป็นบ้านเดี่ยวเพื่อขายในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนหลายพันล้านบาท ทีเดียว

สำหรับธุรกิจหลักของบริษัท อันได้แก่ การบริหารพื้นที่ให้เช่าศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ หรือศูนย์การค้ามาบุญครอง ซึ่งปัจจุบันยังเหลือสัญญาเช่า กับจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย อีก 7.5 ปี รวมพื้นที่ 92,046 ตร.ม. ส่วนใหญ่เป็นสัญญาให้เช่าพื้นที่ระยะสั้น ซึ่งเช่าไม่เกิน 3 ปีเกือบทั้งหมด ยังคงเหลือพื้นที่ให้เช่าระยะยาวเพียง 10%เท่านั้น

นอกจากนั้น ในอนาคตบริษัทยังจะมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในส่วน โครงการสยามพารากอน ซึ่งบริษัทได้เข้าร่วมลงทุน ร่วมกับเดอะมอลล์ โดยถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วน 50% และบริษัท สยามพิวรรณ์ ถือหุ้น 50% กำหนดเปิดโครงการเต็มรูปแบบราวในเดือนก.พ.-มี.ค.2549

ปัจจุบันพื้นที่ได้ขายไปหมดแล้ว โดยพื้นที่เซ้งไปแล้ว 60% สัญญา 25 ปี ส่วนที่เหลือเป็นให้การเช่าระยะสั้น ซึ่งเชื่อว่าในเชิงรายได้และกำไรจะเข้ามาได้เลย โดยพื้นที่เซ้ง 160,000 บาทต่อตารางเมตร แต่มีต้นทุน 6,000 ล้านบาท และจะได้ค่าเซ้งประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งคุ้มทุนแล้ว

ส่วนธุรกิจจำหน่ายข้าวสาร มาบุญครอง ดำเนินการโดย บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี ดูเหมือนจะอยู่ในช่วง ขาลง และผลงานเป็นที่หนักใจของผู้บริหารไม่น้อย

ผลประกอบการของบริษัทไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากคู่แข่งเข้ามาในธุรกิจได้ง่ายทำให้มีโรงสีข้าวเกิดขึ้นมากกว่าผลผลิตทั้งปี ประกอบกับมีการเก็บสต็อกข้าวในราคาสูงกว่าราคาขายจำนวนมาก จึงมีผลขาดทุน ซึ่งเรามีแผนที่จะย้ายโรงสีข้าวที่ตั้งอยู่ปทุมธานีเดิม ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่แหล่งวัตถุดิบอีกต่อไป ไปอยู่ที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมาทั้งหมด

แผนการปรับปรุงธุรกิจข้าวสารของเอ็ม บี เค จึงเน้นไปที่การปรับปรุงการขาย โดยแผนระยะสั้นบริษัทไม่มีการสีข้าว (ยังไม่ได้ยกเลิก) แต่จะใช้วิธีการซื้อข้าวที่เพ็จขายและไม่เก็บสต็อกข้าวอีกแล้ว

สุเวทย์ สรุปแผนการใช้เงินลงทุนว่า ในปี 2548 บริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านบาท แยกเป็นใช้ปรับปรุงโรงแรมปทุมวันฯ 100 ล้าน โรงแรมเชอราตัน กระบี่ 20 ล้าน สนามกอล์ฟ ราว 100 ล้านบาท ก่อสร้างบ้านขาย 100 ล้าน และพัฒนาศูนย์อาหารภายในศูนย์การค้ามาบุญครองราว 90-100 ล้านบาท แต่คาดว่าในปีหน้าจะใช้เงินลงทุนอีกราวหลายพันล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงแรมที่สมุย 900 ล้านบาท และพัฒนาพื้นที่สร้างบ้านใน จ.ปทุมธานีอีกหลายพันล้าน

โดยบริษัทประมาณรายได้ปี 2549 (รอบบัญชีสิ้นสุด 30 มิ.ย.) จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10%

รายได้ของเราปีนี้น่าจะโตได้ไม่น้อยกว่า 10% มาจากรายได้ธุรกิจศูนย์การค้า และ โรงแรม เป็นหลัก แต่อีกส่วนหนึ่งจะรับรู้รายได้จากธุรกิจขายบ้าน

สำหรับผลงานงวด 1 ปี สิ้นสุด 30 มิ.ย.2548 บริษัทมีรายได้รวม 4,531.98 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้ามีรายได้ 4,591.52 ล้านบาท ลดลง 1.3 % และมีกำไรสุทธิ 1,001.61 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนหน้ามีกำไรสุทธิ 1,047.41 ล้านบาท ลดลง 4.37%

สุเวทย์ มองหุ้นเอ็ม บี เค ว่า แม้บริษัทจะขยายการลงทุนมากขึ้น แต่นโยบายระยะยาวยังคงเน้นการเติบโตอย่างมั่นคง ไม่หวือหวา และเน้นจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น

เราอยากให้ผู้ถือหุ้น MBK ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเหมือนกับการฝากเงิน ซึ่งที่ผ่านมาเราจ่ายปันผลในอัตราที่ดีมาโดยตลอด ปีนี้ประกาศจ่าย 3.25 บาทต่อหุ้น เทียบกับราคาหุ้นเท่ากับได้ผลตอบแทนประมาณ 7% ต่อปี จึงมองว่าเป็นผลตอบแทนที่น่าสนใจมาก และราคาหุ้นสอดคล้องกับดัชนี สุเวทย์ กล่าว[/color:21bb39f96e">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com