April 26, 2024   2:57:36 AM ICT
10 เดือนหุ้นกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์

ผลการสำรวจราคาหุ้นกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ในรอบ 10 เดือน ปรากฏว่าหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เป็นกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากสูงสุด เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด


          โดยเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้น 22,245 ล้านบาท จากไตรมาส2/50 15,334 ล้านบาท ประกอบกับนักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการไตรมาส 3 จะฟื้นตัวกันถ้วนหน้า ยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกตัว


          สำหรับหุ้นในกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ทั้ง 34 ตัว มีหุ้นที่ปรับตัวขึ้น 20 ตัว และอีก 9ตัว เป็นหุ้นที่ปรับตัวลดลง ที่เหลืออีก 5 ตัว แบ่งเป็นหุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 4 ราย และอีก 1 ราย เป็นหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย C และ SP เนื่องจากงบการเงินยังมีปัญหา


          ส่วนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสูงสุดในกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ คือ BLS หรือ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงที่ระดับ 29.25 บาท(31ต.ค. 50) จากเดิม11.20 บาท(31 ธ.ค.49) หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 161.16%


          สาเหตุที่หุ้นรายนี้ปรับตัวแรง เนื่องจากโบรกเกอร์มองว่าช่วงที่ผ่านมา BLS มีการกระจายรายได้เพื่อการเติบโตอย่างมีสมดุล และในปีหน้า BLS ตั้งเป้าขึ้นแท่น Top 5 โบรกเกอร์ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดที่ 5% โดยเพิ่มสัดส่วนจากนักลงทุนสถาบันเป็น 45% จากเดิม 40%เพื่อลดความผันผวน


          นอกจากนี้การเป็นพันธมิตรกับ MSAL รวมถึงการแนะนำลูกค้าของ BBL ทำให้บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากส่วนดังกล่าวที่จะบันทึกเข้ามาในไตรมาส 3 อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้อันดับของบริษัทปรับตัวขึ้นจากอันดับ 10 เป็น อันดับ 7 ในไตรมาส 3 และทำให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 3.70-3.80 % ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี2550 มีกำไรสุทธิ 67.09 ล้านบาท ในขณะที่ในไตรมาส 3 ปี 2549 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 25.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.94 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 166.8


          ทั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจำนวน 103.61 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น ถึงร้อยละ 70.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาอันดับ 2 KGI หรือ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง89.41% มาที่ระดับ 3.22 บาทจากเดิม 1.22 บาท


          สำหรับการขึ้นแรงของหุ้นรายนี้ ก็น่าจะได้รับผลประโยชน์ในเรื่องผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เป็นแรงหนุนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างหนาแน่น โดยผลการดำเนินงานไตรมาส3 บริษัทมีกำไรสุทธิ 110.65 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 60.60 ล้านบาท


          เนื่องจากบริษัทมีรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 194 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 129 ล้านบาท เป็นผลมาจากจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาด นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 19 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 4 ล้านบาท


          ทั้งนี้จากการรวบรวมตัวเลขผลกำไรขาดทุนจาการซื้อขายหลักทรัพย์ ของบริษัทหลักทรัพย์(โบรกเกอร์)ที่อยู่ในตลาดหุ้นพบว่า KGI เป็นโบรกเกอร์ที่มีผลกำไรจากการลงทุนในหุ้นสูงที่สุด โดยได้ผลตอบแทนจากการเทรดหุ้น 202.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรเพียง 15.42 ล้านบาท


          ตามมาด้วยอันดับ 3 บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน)หรือ BSEC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงที่ระดับ 4.70 บาท จากเดิม 2.86 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 64.34%


          แม้ BSEC จะมีราคาหุ้นไม่อยู่ในอันดับ 1 แต่หากมองในเรื่องผลการดำเนินงานของหุ้นรายนี้ ก็นับว่าเป็นที่น่าจับตามากเหมือนกัน โดยเฉพาะผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 64.41 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 40.94 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 57.35%


          ที่สำคัญขณะนี้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในส่วนของลูกค้าที่ซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้ง นานติดต่อกันถึง 6 เดือน เนื่องจาก BSEC มีระบบที่ทันสมัยมีกลไกสารสนเทศควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และมีบุคลากรที่มีประสบการณ์ ด้านนี้จำนวนมาก


          ตรงจุดนี้เองที่ทำให้นักลงทุนแห่เข้ามาลงทุนหุ้นรายนี้เป็นจำนวนมากทางด้าน KEST หรือ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อันดับ 4แม้ราคาหุ้นจะไม่หวือหวา แต่อย่างไรก็ตามราคาหุ้นก็ยังติด 1 ใน 5 อันดับ โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง57.67% มาที่ระดับ 27.75 บาท จากเดิม 17.60 บาท


          ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 201.02 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 102.50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 104.18% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 98.38ล้านบาท


          เนื่องจากรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 231.26 ล้านบาท เป็น 555.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 71.34% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของเพิ่มขึ้นจาก 2,148 ล้านบาท เป็น 3,772 ล้านบาท


          นอกจากนี้ยังมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นรายได้ประเภทใหม่เพิ่มขึ้นจาก 7.17 ล้านบาทเป็น 31.01 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 32.74จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนพร้อมจะเข้าลงทุนในหุ้นรายนี้และยิ่ง KEST ยังรักษาส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มหลักทรัพย์อันดับ 1 เอาไว้อย่างเหนี่ยวแน่นหุ้นรายนี้ก็น่าจะเป็นที่สนใจได้เหมือนเช่นเคย


          สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2551 เห็นว่าจะเน้นการขยายฐานนักลงทุนรายย่อยให้เพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) ไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 9%ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เติบโตขึ้นจากปี2550 ที่อยู่ประมาณ 8-9%


          ส่วนโครงสร้างรายได้ด้านปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในปีหน้า สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยจะเพิ่มขึ้นเป็น 55% จากปีนี้อยู่ที่ประมาณ 52% ส่วนลูกค้าต่างประเทศจะอยู่ที่ 33-35% ขณะที่ปีนี้อยู่ที่ 34% และลูกค้าสถาบันในประเทศ อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีนี้ประมาณ 14%


          อันดับ 5 TNITY หรือ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวแรงที่ระดับ 7.60 บาท จากเดิม 4.96 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 53.23%


          สำหรับหุ้นรายนี้ถือเป็นหุ้นโบรกเกอร์ที่น่าจับตา เพราะถึงแม้จะไม่มีข่าวเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเหมือนกับหุ้น 4 ตัวแรก แต่เมื่อกลับมาพิจารณาผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่พลิกมีกำไรสุทธิ 35.18 ล้านบาทหรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.20 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 12.37 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.07 บาท ก็นับว่าน่าสนใจอย่างมากสำหรับหุ้นรายนี้


          สำหรับหุ้นที่ราคาแย่ที่สุดในกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ คือ ASL หรือ บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 86.21% มาที่ระดับ1.00 บาทจากเดิม 7.25 บาท สาเหตุที่ปรับตัวลงแรงคงหนีไม่พ้นในเรื่องของผลประกอบการที่ขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้นักลงทุนขายหุ้นออกมาในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา


          อย่างไรก็ตามผลประกอบการไตรมาส 3 ที่พลิกกับมามีกำไรสุทธิ 42.93 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 371.39 ล้านบาท น่าจะทำให้หุ้นรายนี้ฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง


          ทั้งนี้ ASLคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมหมดในปีนี้ หลังได้เงินจากการขายหุ้นบล.เอเพกซ์ให้กับเมอร์ริล ลินช์ 319 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานทั้งปี 50 พลิกมามีกำไรสุทธิ แม้งวด 9 เดือนแรกปีนี้ยังขาดทุนอยู่ 17 ล้านบาท


          โดยจะนำเงินขายเอเพกซ์ที่เข้ามา หักขาดทุนสะสมที่มีอยู่ทั้งหมด 105.28 ล้านบาททั้งนี้คาดว่าจะดำเนินการซื้อขายดังกล่าวได้แล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค. หลังบล.เอเพกซ์ดำเนินการลดทุนเหลือ 25% ของทุนจดเบียนและคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งหมดที่ระบุไว้ในสัญญาครบถ้วนแล้ว


          แม้ราคาหุ้นกลุ่มโบรกเกอร์จะปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน แต่นักลงทุนอย่าลืมว่าในอนาคตไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์หรือกลุ่มเงินทุน จะต้องเตรียมต้องรับมือกับการเปิดเสรีทางการเงินและถ้าหุ้นตัวไหนไม่มีโนฮาว หรือแบงก์คอยให้การสนับหนุนเบื้องหลัง ธุรกิจก็คงไม่มีวันฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน!! โดยเฉพาะโบรกเกอร์ที่คาดว่าคงจะหนี!!!ไม่พ้นการควบรวมกิจกาเป้แน่แท้

ข่าวหุ้น

เข้าชม: 1,490

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com